“ทวงคืนผืนป่า”
เป็นอีกนโยบายที่รัฐบาลกำลังเดินหน้า...
ทว่า...ภาพ “ภูเขาหัวโล้น” ในหลายจังหวัด โดยเฉพาะใน จ.น่าน ที่ถูกแชร์ต่อๆ กันในโลกโซเชียลเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน คล้ายฝ่ามือที่ “ตบหน้า” รัฐบาลฉาดใหญ่ เพราะแสดงให้เห็นว่า “ผืนป่า” ยังถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับภาพความ “ขึงขัง” ในการเอาผิดกับ “คนกินป่า”ของรัฐบาล
ไม่เฉพาะ จ.น่าน เท่านั้นที่ป่ากำลังถูกปู้ยี่ปู้ยำ แต่ป่าในอีกหลายจังหวัดก็มีปัญหารุนแรงไม่แพ้กัน และไม่ใช่ผืนป่าใหญ่ๆ เท่านั้นที่ถูกรุกราน หากแต่ป่าผืนเล็กๆ ก็ไม่รอด ถูกบุกรุกแผ้วถางอย่างหนัก ดังเช่น...
“เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าลำเลียง” อ.กระบุรี จ.ระนอง
“สกู๊ปแนวหน้า” เดินทางไปตรวจสอบพื้นที่ หลังได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน “นักอนุรักษ์” ในพื้นที่ว่าป่าแห่งนี้กำลัง “บอบช้ำ” จากการบุกตัดไม้ และรุกแผ้วถางของ “เครือข่ายนายทุน” จากในและนอกพื้นที่ ซึ่งส่งผลกระทบ “อาฟเตอร์ช็อก” ไปถึงแหล่งน้ำเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวบ้านและพืชผลเกษตร
สำหรับพื้นที่ที่ถูกบุกรุกอยู่ในพื้นที่หมู่ 8 ต.ลำเลียง อ.กระบุรี จากการลุยเข้าไปยังพื้นที่ ซึ่งการเดินทางเข้าไปเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากเป็นป่าเขารกทึบ ต้องเดินเท้าวนเวียนลัดเลาะไปตามไหล่เขาใช้เวลามากพอสมควรกว่าจะถึงเป้าหมาย
ตลอดเส้นทาง “สกู๊ปแนวหน้า” พบร่องรอย “ไม้ใหญ่”เช่น ตะเคียนทอง ตะเคียนทราย นากบุด หว้า กอ กระบาก และควนแดง เป็นต้น ถูกตัดโค่นด้วยเลื่อยโซ่ยนต์ บางส่วนเป็น “รอยใหม่” เพิ่งถูกตัดโค่นไม่นาน ล้มกองกับพื้นรอการแปรรูป และขนย้ายออกจากผืนป่า โดยไม้ที่ถูกลักลอบนำไปขายจะได้ราคาแผ่นละ 13,000-15,000 บาท
นอกจากนั้น ยังพบการแผ้วถางพื้นที่ป่าเพื่อปลูก “กาแฟ-ยางพารา-ปาล์มน้ำมัน” ของชาวบ้านบางกลุ่มด้วย โดยผู้บุกรุกได้ขุดดินตัดคอนทัวร์ หรือ “ขั้นบันได” ซึ่งทั้งการลักลอบตัดไม้ และแอบทำไร่นั้นใช้แรงงาน “ต่างด้าว” ชาวเมียนมาเป็นกำลังหลัก
นักอนุรักษ์ในพื้นที่ ให้ข้อมูลว่า เมื่อหลายปีก่อนเจ้าหน้าที่รัฐทั้งจากกรมป่าไม้ ตำรวจ และทหาร เคยบุกยึดไม้ที่มีกลุ่มนายทุนเข้าไปบุกรุกแผ้วถางป่า และลักลอบตัดโค่นไม้หวงห้ามมาแล้ว แต่เครือข่ายนายทุนยังไม่ “หยุด...กินป่า” ยังลักลอบตัดไม้ แผ้วถางป่าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ยังมีการลักลอบโค่นไม้อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย แต่ชาวบ้านไม่กล้าร้องเรียนเพราะเกรงกลัวอิทธิพล โดย “เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าลำเลียง” มีพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ ถือเป็นป่าสมบูรณ์ เป็น “ป่าต้นน้ำ” ที่ไหลลงสู่ลำห้วยที่เป็นแหล่งผลิต “น้ำประปา” หล่อเลี้ยงชาวบ้านใน ต.ลำเลียง กว่า 2,000 หลังคาเรือน เมื่อถูกเครือข่ายนายทุนบุกรุกตัดไม้ส่งผลให้ปริมาณน้ำลดน้อยลง
นักอนุรักษ์ผู้นี้ กล่าวอีกว่า ภายหลังปริมาณน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคลดน้อยลง หน่วยงานภาครัฐจึงมีแผนแก้ไขปัญหา โดยมีโครงการสร้าง “ฝายน้ำล้น”ขนาดเล็กเพื่อเก็บกักน้ำที่ไหลลงมาจากป่าต้นน้ำแห่งนี้ รวมถึง“น้ำฝน” โดยคาดว่าจะดำเนินการสร้างในเร็วๆนี้ภายใต้งบประมาณ 30 ล้านบาท แต่จากการที่ป่าถูกบุกรุกทำลาย ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงมาน้อยลงมากขึ้นทุกวัน ถ้าไม่มีการดำเนินการใดๆจากภาครัฐ เชื่อว่าจะมีผลให้ปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่ฝายน้อยลง จากเดิมคาดว่าจะเก็บน้ำได้กว่า 10,000 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) นอกจากนี้การที่ต้นไม้ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลต่อความสามารถในการชะลอ “ดินโคลน” ด้วย
“เมื่อไม่มีป่าช่วยชะลอน้ำ พอฝนตกหนักเชื่อว่าจะทำให้มีน้ำโคลน น้ำป่า ไหลทะลักเข้าฝายกักเก็บน้ำ จนทำให้ตื้นเขิน จากที่จะได้น้ำใสก็กลายเป็นได้น้ำขุ่นแทน และจะมีตะกอนขวางทางน้ำไหล ซึ่งก่อนที่ป่าจะถูกบุกรุกยังช่วยชะลอน้ำป่าได้ ลำธารน้ำไหลสูงถึงระดับเอวแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าปล่อยให้ป่ายังถูกบุกรุกเช่นนี้เชื่อว่าป่าจะไม่เหลือ ในอนาคตชาวบ้านก็จะยิ่งขาดแคลนน้ำ”
นักอนุรักษ์ผู้นี้ กล่าวอีกว่า ตนอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มานานกว่า 23 ปี พบว่าความอุดมสมบูรณ์เปลี่ยนไปมากและร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ “แหล่งน้ำ” ในอดีตเคยใสสะอาด ปัจจุบันเริ่มมีปัญหาเรื่องความสะอาด ทั้งหมดเชื่อว่ามาจากการที่ “ป่า...ต้นน้ำ” ถูกบุกรุกทำลายจากฝีมือของเครือข่ายนายทุน ซึ่งมี “เจ้าหน้าที่รัฐ” บางคนร่วมขบวนการด้วย ถ้าป่าต้นน้ำยังถูกบุกรุกอยู่เช่นนี้ ต่อให้มีฝายกักเก็บน้ำก็ไม่มีประโยชน์อะไร
นอกจากนี้การที่ผืนป่าใน “เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าลำเลียง” ถูกทำลาย ยังส่งผลต่อการ “ท่องเที่ยว” ด้วย เนื่องจากป่าแห่งนี้เป็นต้นน้ำของ “น้ำตกห้วยเนียง”ของ อ.กระบุรี ที่ทางจังหวัดและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) มีแผนใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อผลักดันให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัด แต่ปัจจุบันปริมาณน้ำในน้ำตกลดน้อยลงทุกที สวนทางกับการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต
เช่นนี้แล้วงบประมาณที่ “ถม” ลงไป คงสูญเปล่า!!!
นักอนุรักษ์ผู้นี้ กล่าวทิ้งท้ายว่า ต้องการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแล “หยุดสร้าง หยุดความเคลื่อนไหว” ทั้งหมดที่เป็น “ภัยต่อป่า” เพื่ออนุรักษ์ป่าเอาไว้ และต้องการให้ภาครัฐเหลียวแลปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เพราะกี่ครั้งแล้วที่ชาวบ้านร้องเรียน แต่กลับถูก “เมินเฉย” ถูกมองข้าม คำร้องเหมือน “เศษกระดาษ” ที่ถูกโยนทิ้งลงถังขยะ ถ้าเป็นเช่นนี้เชื่อว่าในอนาคตผืนป่าแห่งนี้...
คงไม่เหลือ!!!
นี่คืออีกหนึ่ง “กระจกสะท้อน” ที่บ่งบอกว่าขบวนการ “คน...ผลาญป่า” มีอยู่ในทุกซอกหลืบของประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไม่อาจมองข้าม ไม่เช่นนั้นเพียงแค่ผืนป่าเล็กๆ ก็คงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้
นับประสาอะไรที่ “ป่า...ผืนใหญ่” จะ “รอด”!?!?!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี