“แม่ใจยักษ์”
“สาวใจแตก”
2 คำนี้ คงเป็นที่คุ้นเคยกันดี สำหรับการพาดหัวข่าวบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในบ้านเรา เมื่อมีการนำเสนอข่าวตำรวจบุกทลายสถานรับทำแท้งเถื่อนบ้าง หรือผู้หญิงที่คลอดลูกแล้วนำลูกไปทิ้งตามที่ต่างๆ บ้าง หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ก็มักเลือกคำเหล่านี้โปรยให้ผู้อ่านสนใจ พลิกตามเข้าไปอ่านอยู่เสมอ
ไม่เพียงเท่านั้น หากมองไปยังสื่อบันเทิง เรายังพบภาพของความรุนแรงทางเพศซ่อนอยู่ในบางประการ ที่สำคัญคือละครหลายเรื่อง มักจะนำเสนอฉากที่พระเอกทำร้ายนางเอก ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นการแสดงความรัก หรือที่เรียกกันง่ายๆ ตามภาษาชาวบ้านว่า “ตบจูบ” หรือบางทีก็มากกว่านั้น เพราะถึงขนาดปลุกปล้ำกันเลยก็มี แต่ผลสุดท้ายดันกลายเป็นว่าทั้งคู่ตกลงที่จะรักกัน ซึ่งผิดหลักของความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ทำให้บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า การนำเสนอในบางประเด็นของสื่อนั้น กำลังสร้างค่านิยมผิดๆ ให้กับผู้รับสารหรือไม่
วันนี้สกู๊ปหน้า 5 จะพาไปรับฟังมุมมองบางประการ เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศที่ปรากฏผ่านสื่อ ว่ามีอะไรที่เป็นข้อสังเกตที่น่าขบคิดกันบ้าง
ความรุนแรงในข่าว
“จากการสำรวจตั้งแต่ 1 พฤษภาคม-31ตุลาคม 2555 พบว่าข่าวความรุนแรงในชีวิตคู่มีความถี่มากที่สุด จำนวน 26 ชิ้นข่าว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเหตุการทำร้ายด้วยเหตุหึงหวง”
เป็นการเปิดเผยผลการสำรวจของ อมรเทพ กมลศักดิ์กำจร ตัวแทนจากมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) ที่ได้ทำการเก็บสถิติข่าวที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ จากพาดหัวข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ระดับยักษ์ใหญ่ 2 ฉบับในเมืองไทย พบว่าตลอดระยะเวลาดังกล่าว พบข่าวที่เข้าข่ายอยู่ทั้งสิ้น 92 ชิ้น
โดยหากนำมาแยกประเภทแล้ว พบว่าข่าวความรุนแรงในชีวิตคู่ได้รับการนำเสนอมากที่สุด รองลงมาคือการล่วงละเมิดทางเพศ และปัญหาท้องไม่พร้อม-ทำแท้ง ตามลำดับ ทั้งนี้สำหรับประเด็นการทำแท้ง คุณอมรเทพเน้นย้ำว่าสื่อยังคงเน้นแต่ปัญหาปลายเหตุ มากกว่าที่จะเชื่อมโยงไปยังมิติทางสังคม จนถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา และยังคงใช้กรอบคิดแบบเดิมๆ ที่มองว่าเป็นปัญหาของผู้หญิงแต่เพียงฝ่ายเดียว
ขณะที่ รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล ตัวแทนจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดลได้ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัว และเป็นปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด คือการนำเสนอข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวิตร ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทยที่เป็นผู้หญิง ขณะที่ถ่ายภาพคู่กับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในช่วงที่นายโอบามา มาเยือนประเทศไทยเมื่อกลางเดือน พ.ย.2555 ที่ผ่านมา และภาพดังกล่าว ถูกนำไปขยายความต่อเติมในความหมายที่ส่อไปในทางสองแง่สองง่าม ในสื่อหลายฉบับทั้งไทยและเทศ
“ยกตัวอย่างการ์ตูนล้อ ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง รูปแรกก็เขียนว่า 2 คนนี้เขารักกัน รูปถัดไปเป็นภาพนายกฯ ยิ่งลักษณ์ บอกปธน.โอบามา ว่าอย่าไปหานางออง ซาน ซู จี เลย (หลังจากมาเยือนไทยก็จะไปพม่าต่อตามหมายกำหนดการ) อีกรูป มีรองเท้าบู๊ทของยิ่งลักษณ์ ที่ใส่ในช่วงน้ำท่วม มีงูออกมาจากรองเท้า(ช่วงน้ำท่วมปี 2554 มีข่าวงูพิษ Green Mamba หลุดออกจากบ้านที่เลี้ยงไว้) แล้วโอบามา ก็ต้องมาแก้ตัวกับมิเชล (ภริยาของปธน.โอบามา) ซึ่งการ์ตูนนี้เขียนโดยชาวต่างชาติ” อ.กฤตยา ชี้ให้เห็นถึงภาพความรุนแรงที่ปรากฏในข่าว โดยตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมานั้นสื่อต่างๆ ไม่เคยสนใจเรื่องทำนองนี้ ของนายกฯที่เป็นเพศชายแต่อย่างใด ขณะที่อีกประเด็นหนึ่ง คือการนำเสนอข่าวความรุนแรงทางเพศของรายการข่าวของบางช่อง ก็ยังนำภาพของผู้เสียหายมาออกอากาศอยู่บ่อยครั้ง
‘ทำร้าย’หรือ‘ช่วยเหลือ’
ประเด็นการพาดหัวข่าวที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเหมาะสมหรือไม่ โดยมีเสียงสะท้อนมาจากกลุ่มผู้พิการ ที่ได้ยกตัวอย่างอคติทางร่างกายมาประกอบด้วย เช่น พาดหัวข่าวประมาณว่า “สลดหญิงเป็นง่อยถูกข่มขืน” ซึ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ข่าวนี้ไปในทางทำนองว่า เหยื่อมีเวรกรรมอะไรหนักหนาจากชาติปางก่อน เพราะนอกจากพิการแล้ว ยังถูกข่มขืนซ้ำอีกต่างหาก ซึ่งแหล่งข่าวคนดังกล่าวบอกว่าส่งผลกระทบอย่างมาก ไม่เพียงแต่ตัวของเหยื่อเท่านั้น แต่รวมถึงครอบครัวอีกด้วย
แต่อีกมุมหนึ่ง หากไปถามในฟากฝั่งของสื่อมวลชน แหล่งข่าวรายหนึ่งที่อยู่ในวงการนี้ ได้ให้ความเห็นแย้งที่น่าสนใจ โดยบอกว่าการที่สื่อพาดหัวข่าวที่ดูหวือหวา หรือดูรุนแรงเช่นนี้ ก็เพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจขึ้นในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันดีในสังคมไทย ว่าหากจะให้ภาครัฐทำงาน สื่อต้องนำเสนอข่าวเพื่อให้ชาวบ้านติดตามก่อน เป็นการใช้พลังภาคประชาชนกดดันไปในตัว ซึ่งหลายครั้งที่ผ่านมาก็เป็นแบบนั้นจริงๆโดยเฉพาะข่าวอาชญากรรม ที่หากมีการตามคดีจากสื่ออย่างต่อเนื่อง พบว่าตำรวจสามารถจับคนร้ายได้เร็วกว่าคดีอื่นๆ ที่สื่อไม่ได้ให้ความสนใจ
“บ้านเรามันเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าสื่อไม่เสนอข่าวให้เป็นกระแสสังคม หน่วยงานราชการก็จะไม่ทำอะไร คุณสังเกตไหม เดี๋ยวนี้ชาวบ้านเขามีเรื่องเดือดร้อน เขาแทบจะไม่แจ้งความกับตำรวจแล้ว แต่ไปร้องทุกข์กับพิธีกรเล่าข่าวของบางช่องแทนเพราะเขารู้ว่าถ้ารายการนั้นเสนอข่าวความเดือดร้อนของพวกเขาภายในเวลาไม่นาน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ จะรีบดำเนินการให้ทันที” แหล่งข่าวจากภาคสื่อระบุ
บางอย่างดีขึ้น-บางอย่างต้องปรับปรุง
อย่างไรก็ตาม แม้ความรุนแรงทางเพศยังคงปรากฏอยู่เรื่อยๆ บนหน้าสื่อต่างๆ ในบ้านเรา แต่ที่ผ่านมา ก็ได้มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีหลายประการ โดยคุณอมรเทพได้ยกตัวอย่างการนำเสนอข่าวการจับกุมเครือข่ายค้าบริการทางเพศ พบว่าปัจจุบันผู้ต้องหาที่ถูกนำมาแถลงข่าว เป็นผู้ล่อลวง หรือนายหน้าจัดหา มากกว่าที่จะเป็นหญิงขายบริการอย่างในอดีตที่ผ่านมา รวมถึงการนำเสนอข่าวในเชิงเจาะลึกปัญหา และช่องทางอันนำไปสู่การช่วยเหลือเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบขององค์กรต่างๆ มากขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังมีบางสิ่งที่สื่อน่าจะกระตุ้นให้สังคมลดอคติทางเพศได้มากขึ้น โดยเฉพาะจากหน่วยงานภาครัฐ ทั้งนี้ อ.กฤตยา ได้ยกตัวอย่างคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุ 13 ปีรายหนึ่ง แต่เด็กคนดังกล่าวเบื้องต้นไม่ได้รับค่าเยียวยา ด้วยสาเหตุที่ว่าเด็กยินยอมไปกับผู้ใหญ่คนดังกล่าวเอง
“ประเด็นคดีทางเพศ ผู้เสียหายสามารถขอค่าเสียหายได้ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา คือ อคติทางเพศ มันเกิดขึ้นกับคนทุกกลุ่ม ไม่ใช่แค่สื่อ แต่ครู พระ ผู้พิพากษา ทนายความก็เป็นอย่างกรณีหนึ่ง เด็กหญิงอายุ 13 ติดต่อกับชายวัย 40 ทางอินเตอร์เนต แล้วผู้ชายก็มาล่อลวงไปมีเพศสัมพันธ์
คดีนี้พ่อแม่ไม่ยอม ก็ไปฟ้องศาล ก็มีการดำเนินคดี แล้วก็ไปขอค่าเสียหายจากศาล ปรากฏว่าศาลพิพากษาว่าเด็กไปยอมเขาเอง มีส่วนร่วมในการเอาตัวเองไปเสี่ยงภัย ดิฉันอ่านแล้วแปลกใจมาก เพราะมาตรา 276-277 (ตามประมวลกฎหมายอาญา) ถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี มีเพศสัมพันธ์กับใครก็ตามต่อให้ยินยอม คนทำก็ผิด เลยมีการอุทธรณ์จนสำเร็จได้ค่าตอบแทน ส่วนอีกคดีที่คล้ายกัน แต่เป็นเด็กหญิงอายุ 14 ต่างกันปีเดียว ซึ่งคดีนี้อุทธรณ์แล้วก็ยังคงมีคำสั่งให้งดจ่ายค่าตอบแทน ตรงนี้จึงอยากให้มีสกู๊ปข่าวที่แสดงเรื่องอคติทางเพศแบบนี้ออกมาเยอะๆ ให้เห็นว่ากลไกที่ดูแลเรื่องนี้ มันยังมีปัญหาในบ้านเรา” อ.กฤตยา กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบัน แม้เราจะพบว่าสังคมไทยนั้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศลดน้อยลงไปมาก ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้หญิงสามารถทำงานในตำแหน่งสูงๆ เป็นผู้บริหารองค์กรได้มากขึ้นไม่ต่างจากผู้ชาย ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน แต่ อย่างไรก็ตาม ก็ยังพบปัญหาบางประการซ่อนเร้นอยู่
โดยเฉพาะปัญหาโครงสร้างเชิงอำนาจ ที่เรามักจะได้ยินข่าวการคุกคามทางเพศ ที่ผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นเพศชาย กระทำต่อผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นเพศหญิงอยู่เสมอ และเมื่อเหยื่อออกมาเปิดเผยต่อสังคม กลับกลายเป็นถูกมองจากเพื่อนร่วมงานว่าทำลายชื่อเสียงขององค์กร จนบางครั้งถูกบีบออกจากงานในหน่วยงานดังกล่าว ดังนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่สื่อมวลชนจะต้องนำเสนอข่าว เพื่อชี้นำสังคมไปในทางที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
เพื่อทำให้ความรุนแรงทางเพศ เป็นสิ่งที่สังคมไม่อาจยอมรับได้ในทุกๆ กรณี
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี