ปัจจุบัน เป็นที่ทราบกันดีว่า 2 มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง “พญาอินทรี” สหรัฐอเมริกา กับ “พญามังกร” สาธารณรัฐประชาชนจีน กำลังแข่งขันกันในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทหาร เศรษฐกิจ ตลอดจนเทคโนโลยีและวัฒนธรรม ดังจะเห็นได้จากการที่ทั้ง 2 ชาติ เข้าไปเกี่ยวข้องกับชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมฝึกซ้อมรบ หรือข้อตกลงทางการค้า ที่เห็นได้ชัดคือบทบาทของจีนที่พยายามจะเป็นพี่ใหญ่เหนือกลุ่มประเทศอาเซียน ขณะที่สหรัฐฯ ก็พยายามนำข้อตกลงการค้าที่เรียกว่า TPP มาล้อมกรอบทั้งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค เพื่อหวังปิดล้อมจีนอีกชั้นหนึ่ง
แต่ยังมีสิ่งที่ต้องจับตามองมากกว่านั้น และเป็นที่กล่าวถึงกันมานานแล้วในหมู่ผู้สนใจประเด็นด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ นั่นคือความพยายามของจีนที่จะมีอิทธิพลเหนือเส้นทางเดินเรือในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิคไปจนถึงสุดเขตมหาสมุทรอินเดีย เรียกว่าไล่ตั้งแต่ชายฝั่งด้านตะวันออกของจีน ผ่านลงมาช่องแคบมะละกาในภูมิภาคอาเซียน อ้อมขึ้นพม่าเข้าสู่เอเชียใต้ เพื่อมุ่งต่อไปยังตะวันออกกลางและแอฟริกา อันเป็นแหล่งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และสินแร่จำนวนมหาศาลที่จำเป็นกับอุตสาหกรรมของจีนที่กำลังโตวันโตคืน จนอาจแซงหน้าสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้
เปิดยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก
เรื่องราวของยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก ถูกจุดประเด็นขึ้นครั้งแรกในปี 2006 (พ.ศ.2549) เมื่อ Christopher J. Pehrson นาวาอากาศโทแห่งกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ได้เขียนบทความชื่อ “String of Pearls : meeting the challenge of china's rising Power across the asian littoral” ที่กล่าวถึงยุทธศาสตร์ทางทะเลของจีน พร้อมทั้งยกแผนที่ฉบับหนึ่ง ที่แสดงถึงเส้นทางขนส่งของจีนตามที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับสร้อยคอ และมีเมืองท่าของประเทศต่างๆ ที่จีนเข้าไปมีอิทธิพล แทนมุกแต่ละเม็ดที่เรียงร้อยเข้าด้วยกัน
“คนที่คิดคำนี้ไม่ใช่จีน แล้วสมัยนั้นคือปี 2006 จีนยังค่อยๆ ทำอะไรแบบเงียบๆ โตเงียบๆ มาเงียบๆ แต่มีฝรั่งคนนึงรู้ทัน ก็ออกบทความชิ้นนึงช่วงกรกฎาคม 2006 ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ เขาเขียนว่าจีนนั้นซุ่มเงียบในการเข้าไปบริหารจัดการ ทั้งอุตสาหกรรมทั้งท่าเรือ ตามจุดต่างๆ ในน่านน้ำของมหาสมุทรแปซิฟิค ถึงมหาสมุทรอินเดีย เขาใช้คำว่าจีนใช้วิธีสารพัดรูปแบบ ทั้งไปสร้างหรือไปเช่าท่าเรือ หรือฐานทัพทางทะเลของประเทศเหล่านั้น รวมไปถึงฐานทัพอากาศ”
เป็นเสียงจาก รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น กรรมการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) กล่าวถึงยุทธศาสตร์ที่อาจจะทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก เนื่องจากเมืองท่าต่างๆ ที่เปรียบดังไข่มุกแต่ละเม็ดนั้น มีความสำคัญมากต่อการลำเลียงวัตถุดิบและพลังงาน จากตะวันออกกลางและแอฟริกากลับสู่จีน
อ.อักษรศรี ได้ยกตัวอย่างสารพัดกลยุทธ์ของจีน เพื่อการอ้างสิทธิ์ของตนในพื้นที่หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นในทะเลจีนใต้ ที่กำลังเป็นข้อพิพาทระหว่างจีนกับ 4 ประเทศในอาเซียน ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซียและบรูไน โดยกรณีทะเลจีนใต้นั้น คือเรื่องของเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อว่า “ซานซา” (Sansha) ที่เดิมไม่มีใครอยู่ แต่จีนได้ขนคนไปอยู่และตั้งให้เป็นเมืองใหม่ เท่ากับได้ขยายอาณาเขตทางทะเลไปด้วย แน่นอนว่าเวียดนามย่อมไม่พอใจ หรือกรณีดินแดนที่ยังเป็นข้อพิพาทระหว่างจีนกับอินเดีย (รวมทั้งจีนกับเวียดนาม) รัฐบาลจีนได้ผนวกดินแดนดังกล่าวให้เป็นของตน ลงไปในแผนที่ประเทศจีนบนหนังสือเดินทาง (Passport) ที่จัดทำขึ้นใหม่ด้วย ซึ่งอินเดียก็ย่อมไม่พอใจเช่นกัน
“เวลาคนจีนไปต่างประเทศ ก็จะถือพาสปอร์ตเล่มนี้ไปผ่าน ตม. (ด่านตรวจคนเข้าเมือง) ก็จะ Stamp (ประทับตรา) พาสปอร์ตเล่มนี้ ก็ยอมรับไปโดยปริยาย แต่ถ้าคนจีนถือเล่มนี้มาที่เวียดนาม ตม.เวียดนามก็จะเอากระดาษมาอีกแผ่น คือ Stamp บนกระดาษเปล่า ไม่ยอม Stamp บนเล่ม คือแสดงความไม่ยอมรับ ส่วนที่ ตม.อินเดีย จะเอาแผนที่ที่อินเดียยอมรับมา Stamp ให้ นี่เป็นตัวอย่างที่สนุกสำหรับเรา แต่สำหรับเพื่อนที่มีเรื่องกัน เขาคงไม่สนุกนะ” อ.อักษรศรี เล่าถึงวิธีตอบโต้กลยุทธ์ขยายอาณาเขตประเทศจีน ของ 2 ชาติคู่พิพาทอย่างเวียดนามและอินเดีย
สร้างอิทธิพลเหนือประเทศกำลังพัฒนา
นอกจากจีนจะใช้สารพัดกลยุทธ์ด้านอาณาเขตทางแผนที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำพาสปอร์ตใหม่แล้วบวกเอาดินแดนที่มีปัญหากับเพื่อนบ้านเข้าไปเป็นของตน หรือการขนคนไปอยู่บนเกาะที่ไม่เคยมีใครไปอาศัยอยู่แล้วประกาศเป็นเมืองใหม่เพื่อขยายอาณาเขตทางทะเล หรือแม้กระทั่งอ้างถึงแผนที่จีนสมัยราชวงศ์ชิง (แมนจู) ที่มีอาณาเขตทางทะเลลึกเข้าไปในทะเลจีนใต้ที่เป็นข้อพิพาทกับชาติในอาเซียน เพื่ออ้างสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว จีนยังพยายามเข้าไปมีอิทธิพลด้านการพัฒนาพื้นที่ทะเลและมหาสมุทร กับบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายอีกทางหนึ่ง
อ.อักษรศรี ยกตัวอย่างเมื่อปี 2011 (พ.ศ.2554) ที่ เหวินเจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน เดินทางไปยังอินโดนีเซีย เพื่อไปตั้งกองทุนชื่อ “China-Asean Maritime Cooperation Fund” โดยอัดฉีดเม็ดเงินลงไปถึง 3 พันล้านหยวน (ราว 15,000 ล้านบาท) เพื่อหวังหาพันธมิตรในภูมิภาคอาเซียนเพิ่ม เนื่องจากมีเพียง 4 ประเทศ (เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซียและบรูไน) เท่านั้นที่เป็นคู่ขัดแย้งกับจีน ส่วนอีก 6 ประเทศไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการจัดทำ “แผนความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนามหาสมุทรอย่างยั่งยืนของประเทศกำลังพัฒนา” เพิ่มมาอีกด้วย
“ล่าสุดเขามีการจัดสัมมนาเรื่องนี้กันที่เมืองจีน ประเทศไทยก็ไปด้วย ก็ตามไปดูว่ามีใครบ้างที่เข้าไปเป็นกลุ่มนี้ ดูรายชื่อสิคะ ไทย แทนซาเนีย อีสต์ติมอร์ (ติมอร์-เลสเต) ฟิจิ วานูอาตู ปากีสถาน ศรีลังกา ก็ไปประชุม ไปดูโน่นนี่นั่นที่เป็นทะเลๆ ก็งงว่าไทยเข้าไปได้ไง เพื่อนๆ อาเซียนยังไม่มีเลย เพราะว่าไทยมีข้อตกลงกับจีนแล้วถึง 2 ฉบับ ฉบับแรกทำเมื่อตอนที่ท่านสีจิ้นผิงยังเป็นรองประธานาธิบดี คือเมื่อธันวาคม 2011 ท่านมาเยือนไทย อีกฉบับแค่ 4 เดือน คุณยิ่งลักษณ์ไปเยือนจีนในนามรัฐบาลไทย 17 เมษายน 2012 ไปลงนามอีกอันแล้วที่เกี่ยวกับทะเล”
นักวิชาการด้านจีนศึกษารายนี้กล่าว และยังเสริมอีกว่า เรื่องนี้ไม่ค่อยได้รับความสนใจมากนักในหมู่คนไทย เมื่อเทียบกับข้อตกลงระหว่างไทยกับจีนด้านอื่นๆ เช่นเรื่องแท็บเล็ตเพื่อการศึกษา เรื่องรถไฟความเร็วสูง หรือการต่อเวลาให้แพนด้าอยู่ในเมืองไทยต่อไป
พม่า = เมืองหน้าด่านของจีน?
หากถามว่าพื้นที่ใด ณ วันนี้ ที่มีความสำคัญที่สุดกับยุทธศาสตร์ของจีน ก็คงหนีไม่พ้น “พม่า” หรือสหภาพเมียนมาร์ เนื่องจากจีนต้องการใช้พม่าเป็นทางออกสู่มหาสมุทรอินเดียโดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ที่ใช้เวลาเดินเรือนานกว่าและต้องประสบปัญหาโจรสลัดชุกชุม ซึ่งจีนได้ทุ่มงบประมาณมหาศาลเข้าไปในพม่ามาโดยตลอด ตั้งแต่ยังถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหาร จนมาถึงรัฐบาลประชาธิปไตยในปัจจุบัน
อ.อักษรศรี ยกตัวอย่างถึง “นิคมอุตสาหกรรมเจียวเพียว” ในเมืองเจียวเพียว ทางตะวันตกของพม่า (จีนเรียกจ้าวผิว) ที่จีนไปลงทุน โดยนิคมฯ แห่งนี้ จะมีขนาดใหญ่กว่านิคมฯ มาบตาพุด รวมกับนิคมฯ แหลมฉบัง ถึง 10 เท่า มีทั้งพื้นที่โรงถลุงเหล็ก พื้นที่อุตสาหกรรมปิโตรเลียม และมีท่าเรือที่สามารถรองรับเรือสินค้าน้ำหนัก 3 แสนตัน รวมถึงมีสนามบินด้วย แต่ที่น่าสนใจ คือจะมีท่อส่งน้ำมันดิบ ที่เรือจีนไปลำเลียงมาจากแหล่งอื่นๆ กลับไปสู่จีนด้วย ทั้งนี้ถ้าโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ จีนก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาช่องแคบมะละกาอีกต่อไป
“น้ำมันดิบจากซูดาน 3 แสนตัน มาเทียบท่าที่นี่ เอาน้ำมันดิบใส่ท่อเลยค่ะ ไม่ต้องขึ้นถนนให้เสียเวลา ท่อยาวระยะทาง 900 กิโลเมตร จากเจียวเพียวไปถึงจีน ต่อไปคือท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (คนละท่อกับน้ำมัน) ก็จะมาจากสัมปทานก๊าซทั้งหลายทั้งปวงในอ่าวเบงกอล จากพม่านี่แหละใส่ท่อส่งกลับไปเมืองจีน ดังนั้นท่อก๊าซกับท่อน้ำมันดิบมันก็จะขนานกัน
แล้วจะมีรถไฟความเร็วสูง วิ่ง 160-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากชายแดนจีนไปที่เมืองเจียวเพียว ระยะทาง 800 กิโลเมตรเท่านั้น นี่คืออภิมหาโปรเจค ที่ทำให้จีนผ่ากลางพม่าออกสู่ทะเลอันดามันได้ ใครที่ฝันว่าจีนจะใช้ไทย จีนจะใช้ทวายในการออกอันดามัน คุณฝันไปเถอะ ถ้าจีนใช้ท่าเรือเจียวเพียว ก็ 800 กว่ากิโล แต่ถ้าจีนจะมาใช้ท่าเรือทวาย 1,700 กิโล จะมาไหมคะ?” อ.อักษรศรี กล่าวทิ้งท้าย พร้อมทั้งย้ำว่า โครงการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จีนได้ลงมือทำไปแล้ว เหลือเพียงนับถอยหลัง รอวันเสร็จสมบูรณ์เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า พื้นที่ทางทะเลในทวีปเอเชียนั้นกลายเป็นสนามประลองกำลังของหลายประเทศ ซึ่งนอกจาก 2 ยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ กับจีนแล้ว ชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือในกลุ่มประชาคมอาเซียน ที่ต่างก็ยังมีข้อพิพาทกันในแง่ของอาณาเขต โดยมีเดิมพันสูงกว่านั้น คือผลประโยชน์มหาศาลทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือเส้นทางคมนาคมขนส่ง เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่า พื้นที่ดังกล่าวจะกลายเป็นแหล่งพลังงานและอาหารของประชากรโลกในอนาคต
สิ่งที่ต้องคิดต่อไป..ประเทศไทยในฐานะที่มีบทบาทมากในอาเซียน และยังมีภูมิประเทศที่ถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาค จะวางท่าทีอย่างไร ในความขัดแย้งของมหาอำนาจทั้งหลายเหล่านี้?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี