เชื่อเหลือเกินว่า วันนี้ชีวิตคนไทย โดยเฉพาะผู้คนในสังคมเมือง คงไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนเดิมอีกต่อไป เห็นได้จากปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีฝนตก หลายคนยังคงขวัญผวา เนื่องจากมหาอุทกภัยใหญ่เมื่อปี 2554 ได้ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ตลอดจนเกิดความขัดแย้งในสังคม ที่เรียกกันว่า “สงครามหน้าแนวกั้นน้ำ” ไม่ว่าจะเป็นระหว่าง กทม. กับปริมณฑล , กทม. ฝั่งธนกับฝั่งพระนคร หรือแม้แต่ภาคอุตสาหกรรมกับภาคเกษตรกรรม อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เนื่องจากไม่มีใครอยากให้น้ำเข้าไปในพื้นที่ของตน
หากถามว่าอะไรเป็นสาเหตุ คงตอบได้หลายประการ ไล่ตั้งแต่การบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด , ภาวะอากาศแปรปรวนซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ , การตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ไม่มีแนวดูดซับน้ำ ซึ่งนอกจากป้องกันน้ำท่วมแบบฉับพลันแล้ว ยังเก็บกักน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งได้ด้วย แต่ที่สำคัญที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “ผังเมือง” ที่พบว่า หลายๆ สถานที่ไปสร้างในที่ๆ ไม่ควรสร้าง เช่นนิคมอุตสาหกรรมที่ไปขวางทางน้ำ ตลอดจนการขยายเมืองอย่างไม่มีระเบียบแบบแผน เนื่องจากการพัฒนาที่ผ่านมา ได้มุ่งเน้นไปในด้านเศรษฐกิจ โดยมุ่งเอาชนะธรรมชาติเป็นหลักในทุกทาง
ย้อนอดีต-มองปัจจุบัน
“เราพบว่า ศาสตร์ของผังเมือง ไม่ได้เป็นของใหม่ของประเทศไทย ถ้าเราล้วงลึกไปในสังคมไทย เราพบว่าคนโบร่ำโบราณ มีความฉลาดมากในการเลือกตั้งถิ่นฐาน นี่แหละคือศาสตร์ในการเลือกสถานที่ที่มีความปลอดภัย คนสามารถรวมกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้”
เป็นเสียงจาก ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล โฆษกคณะอนุกรรมาธิการศึกษางบประมาณที่เหมาะสมกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ วุฒิสภา ชี้ให้เห็นถึงภูมิปัญญาของบรรพชนชาวไทย ในการเลือกตั้งเมือง ซึ่งมีหลายตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่นเมืองโบราณที่อินทร์บุรี ใช้วิธีขุดคูรอบเมืองให้น้ำไหลผ่านเมือง แล้วยกกำแพงเมืองให้สูงเพื่อป้องกันน้ำท่วม หรือกรุงศรีอยุธยา ที่ตัวเมืองสมัยก่อนอยู่ในพื้นที่เกาะมีแม่น้ำล้อมรอบ และแม่น้ำเหล่านี้ นอกจากจะเป็นทางระบายน้ำที่ดีแล้ว ยังใช้เป็นกำแพงธรรมชาติในการป้องกันเมืองในภาวะสงครามกับพม่าด้วย
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ไทย (หรือสยามในเวลานั้น) ไม่ได้มีสงครามกับพม่าอีก ทำให้ละเลยประโยชน์ของทางน้ำไป แม้กระทั่งปัจจุบัน งบประมาณเพื่อบริหารจัดการน้ำ (ล่าสุดคือเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ) ถูกนำไปใช้ด้านสิ่งก่อสร้างต่างๆ แต่แทบไม่ได้ใช้ในด้านการให้ความรู้ หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนเลยแต่อย่างใด
อ.ธนวัฒน์ กล่าวต่อไปอีกว่า หากย้อนข้อมูลในอดีต พบว่าน้ำท่วม กทม. ครั้งใหญ่สุด ไม่ใช่ พ.ศ.2526 หรือ พ.ศ.2485 อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกัน แต่เป็นพ.ศ.2374 (สมัยรัชกาลที่ 3) ซึ่งครั้งนั้น น้ำได้ท่วมสูงถึง 3 เมตร และท่วมอยู่นาน 3 เดือน แต่เนื่องจากสภาพของเมืองไม่ได้ใหญ่โตแบบทุกวันนี้ จึงไม่มีความเสียหายมากอย่างในปัจจุบัน ปัญหาคือที่ผ่านมา เรากลับไม่เคยวางผังเมืองเพื่อรับมือมวลน้ำในปริมาณดังกล่าวแต่อย่างใด
“เราชอบกันแต่เรื่อง Structure (โครงสร้าง หรือการสร้างแนวกั้นน้ำ) ถ้า Structure แตกอย่างปี 54 มันส่งผลกระทบต่อสังคมเยอะ แต่บางสังคม เขาสนใจพวก Non-Structure (การวางผังเมือง ไม่เน้นสร้างแนวกั้นน้ำมากนัก) กลับกลายเป็นว่าป้องกันน้ำได้มากกว่า ซึ่งจริงๆ 2 อย่างนี้ต้อง Combine (ควบคู่-ผสมผสาน) กัน
ปัญหาผังเมืองที่ผ่านมา ที่เราเสียหายกัน 1.44 ล้านล้านบาท (การประเมินของ World bank) เพราะว่าน้ำเขาเดินของเขาอยู่แล้ว แต่เราไปอยู่ในที่ของน้ำ ดังนั้นถ้าเราไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ยังไปแย่งที่น้ำ ในอนาคต ผมเชื่อว่าน้ำเองคงไม่มีใครไปบังคับไม่ให้ท่วมได้ ดังนั้นความเสียหายก็จะมีมากขึ้น” อ.ธนวัฒน์ กล่าว
เมื่อผังเมืองเปลี่ยนตาม “อำนาจเงิน”
มีคำกล่าวหนึ่งที่น่าเจ็บปวดสำหรับสังคมไทย นั่นคือ “เมื่อเงินพูด ความจริงย่อมเงียบ” ดังจะเห็นได้จากแทบทุกวงการ ล้วนมีข่าวทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่การบังคับใช้ผังเมือง ที่แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นที่ลุ่มที่แอ่ง อันเหมาะกับการใช้เป็นแก้มลิง เพื่อพักน้ำก่อนรอระบายไปตามระบบ แต่ทั้งเจ้าของที่ดินที่อยากขายที่ให้ได้ราคาแพงๆ กับนายทุนที่อยากพัฒนาเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและหมู่บ้านจัดสรร ต่างพยายามใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย เมื่อผังเมืองหมดอายุ เข้าไปกดดันให้แก้ไขผังเมืองอยู่เสมอ
น.ส.อรพิมพ์ พิมพ์เจริญ นักผังเมืองชำนาญการ เป็นอีกผู้หนึ่งที่พบปัญหาดังกล่าวในบ้านเราอยู่เสมอ ทั้งที่จริงๆ แล้ว บ้านเรามีองค์ความรู้ และมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านผังเมืองมากมาย แต่ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเอาจริงเอาจัง ต่างกับประเทศอังกฤษ ที่ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงาน พบว่าที่นั่นผังเมืองเป็นวาระสำคัญระดับชาติ มีหน่วยงานมาดูแลเป็นการเฉพาะ และมีอำนาจในการดำเนินคดีกับผู้ใช้พื้นที่ผิดประเภทได้ด้วย
คุณอรพิมพ์ เล่าย้อนถึงการทำผังเมืองใน กทม. ซึ่งแต่เดิมนั้น ก่อนที่กรมผังเมืองจะโดนยุบรวมกับกรมโยธาธิการ ได้มีการทำผังเมือง โดยพยายามรักษาพื้นที่ธรรมชาติ (สีเขียว) ใน กทม. และปริมณฑลไว้พอสมควร แต่หลังจากมีการโยกย้ายผังเมืองไปให้ท้องถิ่นดูแล เมื่อ พ.ศ.2535 ได้มีความพยายามยกเลิกพื้นที่สีเขียวนี้มาโดยตลอด ทั้งนี้ทุกๆ 5 ปี ที่ผังเมืองหมดอายุและจะต้องประชุมรับฟังความคิดเห็นกันใหม่ ก็มักจะถูกกดดันอยู่เสมอ
“ทุก 5 ปี เราต้องไปประชุมในพื้นที่นี้ มีทั้ง ส.ส. ระดับชาติ ไปติดป้ายโฆษณา ว่าเลือกผมแล้วผมจะยกเลิกสีเขียวให้หมดเลย เราก็ถ่ายรูปเก็บไว้ พอเขาได้รับเลือก เขาก็มาหาเรา บอกว่าแก้ผังเมืองหน่อยเพราะหาเสียงไว้ ก็บอกไปว่าคุณหาเสียง แต่เราไม่ได้หา ที่บอกว่าผังเมือง 5 ปีน้อยไปไหม มันน้อยไปสำหรับคนไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง แต่มันทรมานสำหรับคนที่เจ้าคุณปู่เขาให้ที่ไว้ แล้วยังสร้างคอนโดไม่ทัน วันนี้ผังเมืองประกาศใช้ เขาทรมานมาก
พออีก 5 ปี เขาก็โทรมาถาม เนี่ย! อั๊วซื้อที่ดินไว้แล้ว ที่สีเขียว เขาบอกว่าผังเมืองเปลี่ยนทุก 5 ปี เดี๋ยวเหลือง แดง ส้ม เขียว น้ำตาล ลื้อไม่เห็นเปลี่ยน นี่ 2 รอบแล้ว ก็ถามว่าซื้อมานานยังอาแปะ ก็บอกว่า 30 ปีแล้ว ถมไปหมดตั้งเยอะ แล้วจะทำอะไรคะ? อยู่ในเขียวลาย (พื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม) เลยนะ แปะรอได้ไหม สักร้อยปีได้ไหม ให้เราชัวร์ว่าน้ำไม่ท่วมก่อน นี่เป็นแค่ 1 ในหลาย case เท่านั้น”
คุณอรพิมพ์ อธิบายต่อไปว่า ผังเมืองนั้นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกๆ 5 ปีเสมอไป แต่คำว่า 5 ปีนี้หมายถึงระยะที่ต้องประเมินสภาพพื้นที่ ซึ่งยืนยันว่า ตราบใดที่ยังคุมปัญหาน้ำท่วมไม่ได้ ก็จะไม่มีทางยกเลิกพื้นที่เขียวลายเป็นอันขาด แต่อาจแก้ไขข้อกำหนดบางประการให้เข้ากับสภาพชุมชน เช่นอนุญาตให้ก่อสร้างตลาด หรือร้านค้าขนาดเล็กได้
นอกจากนี้ พื้นที่ที่ห้ามสร้างหมู่บ้านจัดสรร เจ้าของโครงการกลับใช้กลยุทธ์ “ศรีธนญชัย” เพื่อเลี่ยงข้อบังคับดังกล่าว เช่นถ้าห้ามสร้างหมู่บ้านตั้งแต่ 10 ยูนิตขึ้นไป คนเหล่านี้จะใช้วิธีไปขอทุกวัน วันละ 9 ยูนิต ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อสร้างหมู่บ้านแล้ว กลับไม่ยอมสร้างระบบระบายน้ำอีกด้วย โดยผลักภาระไปให้กับ กทม. แต่เพียงฝ่ายเดียว
ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา?
ปัจจุบัน กระแสสังคมไทยกำลังเข้าสู่ยุคสิทธิเสรีภาพเบ่งบาน คนแต่ละคนต่างคำนึงถึงสิทธิของตน จนมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เมืองไทยวันนี้อยู่ในยุค “สำลักเสรีภาพ” จนลืมใส่ใจสังคมส่วนรวมหรือไม่? ซึ่งบทเรียนจากมหาอุทกภัย 54 ได้ชี้ให้เห็นปัญหาดังกล่าว เมื่อหลายพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งที่มวลน้ำจ่อประชิด กทม. แล้ว แต่ภาครัฐไม่สามารถเข้าไปสร้างแนวกั้นน้ำได้ เพราะเจ้าของพื้นที่ไม่ยินยอม ทำให้น้ำเข้าท่วม กทม. ฝั่งตะวันตกในที่สุด
นายกังวาฬ ดีสุวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักระบายน้ำ กทม. ที่ครั้งก่อนเคยพูดถึงปัญหาความมักง่ายของชุมชนริมน้ำ ที่มักจะทิ้งขยะลงแหล่งน้ำ ทำให้ไปอุดตันตามท่อ หรือตามสถานีสูบน้ำต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่มักจะพบทั้งตู้ เตียง ยางรถยนต์และอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ทำให้ระบบระบายน้ำไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่ มาคราวนี้ คุณกังวาฬได้เล่าถึงความพยายามในการเข้าไปขอสร้างแนวกั้นน้ำในที่ดินเอกชน เมื่อครั้งมหาอุทกภัย 54 แต่ถูกปฏิเสธ เนื่องจากเหตุผลเพียงเพราะบดบังทัศนียภาพของบ้านเท่านั้น
“ตอนที่น้ำยังไม่ท่วม เขาไม่ยอม จะไม่ยอมเลย ทั้งริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขาไม่ยอมให้เราสร้าง บอกว่ามันปิดบังหน้าบ้านเขา คือมันก็จะเป็นฟันหลออยู่ตรงหน้าบ้านเขา น้ำมันก็เข้าตรงนั้นแหละ แล้วคนที่มีรั้วบ้านเดิมก็ไม่ยอมให้ทำ คือรั้วก็ไม่แข็งแรงอะครับ พอน้ำมันยกตัวขึ้น มันก็ดันพังหมด คราวที่แล้วปี 54 พังไป 5 จุด ริมแม่น้ำ ริมคลองบางกอกน้อย คลองมหาสวัสดิ์ เพราะว่าเขาไม่ยอมให้เราทำ
ที่พังไม่ได้พังที่เขื่อน มันเป็นรั้วบ้าน ที่มันเข้าไปในถนนจรัญ (จรัญสนิทวงศ์) คือพังเพราะเขาไม่ยอมให้เราทำ เราบอกว่าไม่แข็งแรงแต่เขาก็ไม่ยอม อันนี้พอพังเสร็จ ตอนนี้ให้ทำหมดเลยครับ มีเรื่องมาเลยครับขอให้ กทม. ทำ ตอนนี้เราทำไม่ทัน คือมันต้องเจอก่อน พอถูกเข้าไปทีนึง ก็รู้เลยว่ามันหนักมาก เสียหายเยอะมาก เขาไม่ยอมให้ทำ ทั้งๆ ที่เราจะทำให้ฟรี ไม่เสียตังค์เลย” รอง ผอ.สำนักระบายน้ำ กทม. กล่าวทิ้งท้าย
จะเห็นได้ว่า การวางผังเมืองให้ดี และบังคับใช้ข้อกำหนดผังเมืองอย่างจริงจัง มีความสำคัญและเป็นประโยชน์มากในการบริหารจัดการพื้นที่ เพื่อป้องกันและแก้ไขภัยพิบัติ ที่นับวันมีแต่จะเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามความแปรปรวนของสภาพอากาศโลก การใช้พื้นที่ให้ถูกประเภท ย่อมจะลดความเสียหายได้มาก ทั้งนี้ยังมีผู้เสนอว่า กทม. และปริมณฑลควรหยุดการเจริญเติบโตในภาคธุรกิจได้แล้ว เพื่อให้เหลือพื้นที่แก้มลิงไว้พักน้ำหากเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นอีก และให้ทางระบายน้ำ (Flood Way) ที่มีอยู่เดิมตั้งแต่สมัย ร.5 ทำงานได้เต็มศักยภาพโดยไม่มีอะไรไปขวางหรืออุดไว้
โดยควรไปขยายความเจริญในจังหวัดใกล้เคียงอื่นๆ เช่นฉะเชิงเทรา สระบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี ผ่านการเชื่อมระบบขนส่งที่รวดเร็วและทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ หรือถนนมอเตอร์เวย์ เพื่อระบายผู้คนที่เข้ามาแสวงหาโอกาสใน กทม. จนกลายเป็นเมืองแออัดอย่างทุกวันนี้ ให้กระจายตัวออกไปบ้าง
บางทีวันนี้ รัฐบาลที่อยากได้รถไฟความเร็วสูง น่าจะลองทำตามข้อเสนอดังกล่าว โดยให้ 4 จังหวัดใกล้ๆ กทม.นี้เป็นโครงการนำร่องก่อนก็ได้ เพื่อจะได้รู้ว่า..ทำแล้วจะเป็นอย่างไร? จะกำไรหรือขาดทุน?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี