ออมสินเท3.5หมื่นล.สนองนโยบายรัฐ

ผุด4โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

ปลอดหลักทรัพย์-คนค้ำประกัน

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานงานวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน ครบรอบ 102 ปี ว่า ธนาคารออมสินได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนรายย่อยให้มีทุนหมุนเวียนในระบบ และเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ แก้ไขปัญหาความยากจนตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ผ่าน 4 โครงการสินเชื่อ วงเงินรวม 3.5 หมื่นล้านบาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2558เป็นต้นไป

สำหรับสินเชื่อ 4 โครงการ ประกอบด้วย 1.สินเชื่อประชาชนสุขใจ ปล่อยกู้ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้า วงเงินไม่เกิน 2 แสนบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อเดือน ผ่อนชำระนาน 10 ปี โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน แต่ได้ร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เป็นผู้ค้ำประกันวงเงินค้ำ5,000 ล้านบาท

2.สินเชื่อออมสุขใจ เป็นโครงการที่จะให้ประชาชนฝากเงินอย่างต่อเนื่อง ทั้งเงินฝากบัญชีตั้งแต่ 90 วัน 6 เดือน และ 10 เดือน โดยสามารถขอกู้ได้วงเงินไม่เกิน 5 เท่าของเงินออม ณ วันที่ยื่นกู้ รายละไม่เกิน 2 แสนบาท อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อเดือน ระยะเวลาไม่เกิน 8 ปี

ส่วนโครงการสินเชื่อที่ 3 เป็นโครงการสินเชื่อมนุษย์เงินเดือนสุขใจ เป็นกลุ่มผู้มีรายได้ประจำที่หน่วยงานหักเงินเดือนนำส่งให้ธนาคาร ไม่ต้องมีใบรับรองเงินเดือน สามารถเข้ากู้ได้ในวงเงินไม่เกิน 2 แสนบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0.75% ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 8 ปี โดยไม่ต้องใช้หลักประกัน

ขณะที่โครงการสินเชื่อที่ 4 เป็นโครงการคืนความสุข ซึ่งจะปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่มีประวัติการชำระหนี้ที่ดี ให้วงเงินกู้ไม่เกิน 20% ของวงเงินกู้เดิม สูงสุดไม่เกิน 4 หมื่นบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0.75% ต่อเดือน ผ่อนชำระ 3-5 ปี โดยไม่ต้องใช้หลักประกัน

“ทั้ง 4 โครงการแตกต่างจากเดิม คือ ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน เป็นการปล่อยเพื่อช่วยชาวรากหญ้า พ่อค้าแม่ค้า กู้ได้ทุกอาชีพ ซึ่งเป็นมาตรการตามนโยบายของ คสช. และรัฐบาลที่ต้องการให้ช่วยคนจนและลดความเหลื่อมล้ำ” นายชาติชายกล่าว

นายชาติชาย กล่าวถึงการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ค้าสลากรายย่อย ว่า ธนาคารอยู่ระหว่างหารือในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ค้าสลากรายย่อย ผู้พิการที่ได้รับการจัดสรรโควตา วงเงินเบื้องต้นประมาณ 2 แสนบาทต่อราย หรือขึ้นอยู่กับการได้รับโควตา มีวงเงินรวม 500-1,000 ล้านบาท