องค์กรไม่แสวงกำไรบุกกรมสรรพากร เรียกร้องหยุดเก็บภาษีไม่เป็นธรรม ครวญบางองค์กรถูกรีดภาษีย้อนหลังกว่า 5 ล้านบาท ถึงขั้นล้มละลาย ลั่นหากไม่ได้ข้อสรุปเตรียมตบเท้าร้องรองนายกรัฐมนตรี ขณะที่สรรพกรยืนยันได้ข้อยุติภายในสิ้นเดือนนี้
15 ส.ค.61 เวลา 10.30 น.ที่กรมสรรพากร นายวิวัฒน์ ตามี่ แกนนำเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ พร้อมด้วย นายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน(ขสช.) และตัวแทนองค์กรที่รับทุนทำโครงการให้กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ทั้งกลุ่มเด็ก เยาวชน ครอบครัว สตรี คนพิการ แรงงานนอกระบบ ผู้บริโภค คนจนเมืองและชนบท กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มเกษตร กว่า 50 คน เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส อธิบดีกรมสรรพากร ผ่านทางนายเกรียงศักดิ์ ประสงค์สุกาญจน์ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการกำกับและตรวจสอบภาษี เพื่อเรียกร้องให้ยุติการเก็บภาษีอย่างไม่เป็นธรรม โดยเครือข่ายได้ชูป้ายรูปปูขนาดใหญ่สื่อถึงสรรพกร ระบุข้อความว่า “หยุดรีดเลือดปู หยุดภาษีไม่เป็นธรรม” พร้อมข้อความเสียดสีต่างๆ
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า ตนทำงานกับคนด้อยโอกาส กลุ่มชาติพันธ์มายาวนาน มีโอกาสรับทุนจาก สสส.เพื่อสร้างสุขภาวะกับกลุ่มชาติพันธุ์ หากถูกเก็บภาษีแบบนี้คงต้องล้มละลาย ที่ผ่านมาถูกติดตามไล่บี้ภาษีอย่างต่อเนื่องกว่า 5 ล้านบาท ก่อนหน้านี้เคยมายื่นขอความเป็นธรรมเมื่อ ก.พ.61 วันนี้จึงมาติดตามความคืบหน้า คือ สรรพกรตีความเหมารวมทั้งโครงการว่าเป็น“สัญญาจ้างทำของ” รวมถึงหากโครงการไหนงบเกินกว่า 1.8 ล้านบาท เข้าข่ายธุรกรรมที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม(Vat)
ทั้งๆที่ข้อเท็จจริง คือ โครงการที่ได้รับทุน สสส.อยู่ภายใต้ข้อตกลงการเป็นตัวแทนเข้าร่วมทำงานสร้างเสริมสุขภาพ หรือเรียกว่าเป็นภาคีทำโครงการลักษณะพัฒนาชุมชน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตามกลุ่มเป้าหมาย เช่น เด็ก เยาวชน ผู้พิการ ผู้สูงอายุ รวมถึงการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพ
“พวกเราทำงานไม่ได้แสดงหากำไร ไม่ได้หนีภาษี เพราะชำระภาษีรายได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ตามกฎหมายไทย แต่การเรียกเก็บภาษีในลักษณะสัญญาจ้างทำของ จึงบิดเบือนและผิดหลักข้อเท็จจริง ตลอด 2 ปีข้อโต้แย้งไม่ยุติ สร้างความเดือดร้อนอย่างมาก”นายวิวัฒน์ กล่าว
สำหรับ ข้อเสนอและจุดยืนของเครือข่ายต่อกรมสรรพากร มีดังนี้ 1.ขอให้ยุติการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม และเร่งหาข้อสรุปทบทวนการตีความโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. จาก “สัญญาจ้างทำของ” ให้กลับมาเป็น “สัญญาตัวแทน” โดยเร็ว โดยผู้ดำเนินโครงการต่างเสียภาษี “ค่าตอบแทน” ตามเงื่อนไขกำหนดของ สสส. อยู่แล้ว
2.ขอยืนยันว่าองค์กรภาคประชาชนที่รับทุนสสส.ไม่ใช่องค์กรแสวงหากำไร ไม่มีกำไรจากการดำเนินโครงการต่างๆ การตีความดังกล่าวของสรรพากร สร้างความเสื่อมเสียให้กับภาคีเครือข่าย ทำให้สังคมสับสนและเข้าใจผิด และ 3.ขอให้พิจารณาและตอบกลับหนังสือชี้แจงข้อมูลการดำเนินการและการรับจ่ายเงินของสสส. ตั้งแต่วันที่10ก.พ.60 อ้างอิงเลขที่หนังสือ สสส.ฝ.5/323/2560 ที่ลงนามโดย พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการกองทุน สสส.ซึ่งได้ชี้แจงไว้ชัดเจนถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเหตุใดกรมสรรพากรจึงไม่นำมาพิจารณา
ด้านนายคำรณ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติโดยส่วนรวม สร้างความหวาดกลัวให้กับคนทำงานด้านสังคมที่ดำเนินงานในลักษณะไม่ใช่องค์กรแสวงหากำไร แต่กลับถูกเรียกเก็บภาษีเช่นเดียวกับองค์กรแสวงหากำไร กลุ่มธุรกิจ และยังคำนวณการจัดเก็บภาษีย้อนหลังซึ่งไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง แม้ที่ผ่านมาพบว่ามีความพยายามของรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ฉัตรชัย สาลิกัลยะ ในฐานะประธานบอร์ดสสส.ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ความเป็นจริงยังพบว่าแทบทุกพื้นที่ ภาคีถูกติดตามไล่บี้ภาษีกันอย่างหนัก แทบไม่ทันตั้งตัว คนทำงานบางรายที่ป่วยนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อาการทรุดเมื่อรู้ว่าต้องโดนภาษีอย่างไม่เป็นธรรม
“อยากตั้งคำถามในการทำงานของกรมสรรพากร โดยเฉพาะการออกมาตรการหลายอย่างที่เอื้อให้กับนายทุน กลุ่มธุรกิจที่มีกำไร แต่กลับมาขูดรีดภาษีกับองค์กรภาคสังคมที่ไม่มีกำไร อย่างเอาเป็นเอาตาย หากไม่ได้รับข้อยุติ ภาครัฐจะสูญเสียคนทำงานภาคสังคมที่จะมาทำงานสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการแบ่งเบาภาระ ช่วยทำงาน และลดความเหลือมล้ำในระบบราชการที่ประชาชนเข้าไม่ถึง ทั้งนี้หากยังไม่มีความชัดเจน เครือข่ายจำเป็นต้องรวมตัวกันเพื่อไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีต่อไป” นายคำรณ กล่าว
ภายหลังยื่นหนังสือ ทางกรมสรรพกรได้เชิญตัวแทนเครือข่ายฯเข้าหารือ โดย นายคำรณ กล่าวภายหลังการหารือว่า ทางนายเกรียงศักดิ์ ได้แสดงความห่วงใย และยืนยันว่าสรรพกรไม่ได้นิ่งนอนใจ ยืนยันกับภาคประชาชนว่า ขอให้ความมั่นใจว่าเรื่องนี้จะเป็นไปในทิศทางที่ดีและไม่ทำให้คนทำงานต้องเสียหาย ข้อสรุปที่ได้จะเป็นเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าเราทำงานร่วมกัน 3 ฝ่าย คือสรรพากร สสส.และสตง.ซึ่งจะต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมเพื่อเร่งให้ได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้ และจะมีการแถลงอย่างเป็นทางการต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี