ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากบริษัทครอบครัว กฤษดาธานนท์ ยื่นร้องต่อศาลเพื่อคัดค้านการขายทอดตลาด ที่ดิน 4,400 ไร่ ย่านบางนาตราด-สุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลหนี้แบงก์กรุงไทย ก็มีการเผยข้อมูลเบื้องลึก และข้อสังเกตหลายประเด็นในการขายทอดตลาดครั้งนี้ เช่น กรณีการตีราคาประเมิน ซึ่งจากการตรวจสอบไปยังธนาคารกรุงไทยในฐานะเจ้าหนี้พบว่า ก่อนหน้านี้ นายวิโรจน์ นวลแข อดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำเลยที่ 3 ที่ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ต้องร่วมชดใช้มูลละเมิด ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการประเมินราคาที่ดินเพื่อประกอบการขายทอดตลาดในครั้งนี้ โดยระบุว่าการประเมินราคาที่ดิน โดยอิงราคาประเมินรายแปลงแยกอิสระไม่ใช่ที่ดินผืนเดียวกัน ทำให้ที่ดินเกือบทั้งหมดถูกประเมินว่าเป็นที่ตาบอดไม่มีทางเข้า-ออกนั้น ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์คู่มือตามประกาศของกรมธนารักษ์ปี 2552 เพราะข้อเท็จจริงที่ดินทั้ง 215 แปลงจำนวน 4,400 ไร่ดังกล่าวมีการใช้ประโยชน์ร่วมกัน และมีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์เดียวกัน จึงต้องถือเป็นที่ดินที่ต้องประเมินราคาเป็นแปลงเดียวกันทั้งโซน
แหล่งข่าวจากวงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าแต่เดิมที่ดินแปลงนี้ติดจำนองอยู่กับแบงก์กรุงเทพตั้งแต่ปี 2538 มีการประเมินราคาไว้สูงกว่า 14,000 ล้านบาท อยู่แล้วและเมื่อบริษัทกฤษดาธานนท์ ขอรี ไฟแนนซ์เงินกู้มายังธนาคารกรุงไทยก็ได้ให้บริษัทประเมินหลักทรัพย์ที่ ก.ล.ต.ให้การรับรองถึง 2 บริษัทเข้ามาประเมิน คือ บริษัทอินชิคเนียบรุค (ประเทศไทย) และบริษัทซาลแมนน์ (ฟาร์อิสท์) จำกัด ซึ่งทั้งสองบริษัทได้ประเมินที่ดินแปลงดังกล่าว มีมูลค่าสูงกว่า 14,000-16,000 ล้านบาท สูงกว่าวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติจากธนาคาร ดังนั้นเกิดข้อสงสัยว่า เมื่อแบงก์กรุงไทยรับทราบข้อเท็จจริงมาตั้งแต่ต้น แต่ไม่ใช้สิทธิ์คัดค้านหรือทักท้วงการประเมินราคาเพื่อขายทอดตลาด ทั้งที่อาจทำให้แบงก์เสียหายอย่างชัดเจน
“การที่แบงก์กรุงเทพที่มีระบบตรวจสอบที่เข้มงวดยอมปล่อยกู้ให้กับที่ดินแปลงดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2538 น่าจะเป็นคำตอบที่ดีว่ามูลค่าของที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นอย่างไร จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลักทรัพย์ค้ำประกันมูลหนี้จะมีมูลค่าต่ำกว่าอดีตเป็นเท่าตัวจนทำให้แบงก์ขาดทุนได้ การที่ธนาคารกรุงไทยกลับเร่งรีบขายทอดตลาดหลักทรัพย์ค้ำประกันทั้งที่ในอนาคตอันใกล้ คือในปี 2562 กรมธนารักษ์จะมีการประเมินที่ดินรายแปลงใหม่ ในขณะที่ภาครัฐยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไฮสปีดเทรน และเมืองใหม่รองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งจะยิ่งทำให้มูลค่าที่ดินสูงขึ้นไปอีก”
นอกจากนี้ การที่แบงก์กรุงไทยและเจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะราคาขายที่ดินออกไปในราคาต่ำเพียงวาละ 5,000 บาทหรือรวมแล้วแค่ 8,914 ล้าน จากที่ควรจะมีราคาเกินกว่า 30,000-50,000 บาท/ตร.ว.ขึ้นไปนั้น ยังส่งผลให้รัฐเสียหายขาดรายได้จาก ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ค่าธรรมเนียมการโอน ภาษีธุรกิจเฉพาะไปนับ 1,000 ล้านบาทขณะที่ในส่วนของแบงก์กรุงไทยเองก็สูญเสียประโยชน์จากหลักทรัพย์ค้ำประกันที่ถูกตีราคาต่ำติดดินนี้ไปนับพันล้านเช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี