นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยภาพรวมการส่งออกเดือนเมษายน 2562 ว่า แรงกดดันจากผลกระทบสงครามการค้าจีน-สหรัฐ และความต้องการสินค้าตลาดโลกลดลง ทำให้เดือนเมษายนที่ผ่านมามียอดส่งออก 18,555.6 ล้านดอลลาร์ ลดลง 2.57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าต่ำสุดในรอบ 24 เดือน (2 ปี) นับจากเดือนพฤษภาคม 2560 โดยนำเข้า 20,012.9 ล้านดอลลาร์ ลดลง 0.72% ขาดดุล 1,457.2 ล้านดอลลาร์ และในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าส่งออก 80,543.4 ล้านดอลลาร์ ลดลง 1.86% และนำเข้า 79,993.9 ล้านดอลลาร์ ลดลง 1.08% เกินดุล 549.5 ล้านดอลลาร์
“การส่งออกไปตลาดส่วนใหญ่ยังหดตัว ตามแนวโน้มการค้าโลก อีกทั้งการส่งออกไปยังคู่ค้าสำคัญของไทยส่วนมากได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีการนำเข้าของสหรัฐฯ และจีน ทั้งทางตรงและทางอ้อม บรรยากาศทางการค้าที่ไม่แน่นอนและมีแนวโน้มกลับมาตึงเครียดอีกครั้งทำให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอ่อนแอลงกระทบต่อการส่งออกไทย อย่างไรก็ตาม การส่งออกไทยขยายตัวได้ดีในบางประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ เวียดนาม กัมพูชา และอินเดีย”
ส่วนการที่สหรัฐขึ้นบัญชีบริษัทหัวเว่ยนั้น ผู้ส่งออกไทยบางรายผลิตชิ้นส่วนให้หัวเว่ย ผลกระทบต่อไทยจึงยังไม่มาก สหรัฐขึ้นภาษีจีน ทำให้ไทยมีโอกาสส่งออก โดยมีสินค้าไปสหรัฐ 1,500 รายการ เป็นสินค้ากลุ่มเกษตรอาหาร เครื่องเทศเครื่องปรุงรส เสื้อผ้า รองเท้า ผ้าผืน อัญมณี และเครื่องประดับ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่จีนซื้อจากสหรัฐ ไทยมีโอกาสส่งสินค้าไปขายจีนเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารแปรรูป เคมีภัณฑ์ เป็นต้น
นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวว่า หากต้องการให้การส่งออกของไทยตลอดปีนี้โตเป็นศูนย์หรือเสมอตัว นับจากนี้ไปจะต้องมียอดส่งออกต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 21,493 ดอลลาร์สหรัฐ โดยทางสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้ามองว่ากลยุทธ์ที่ไทยจะใช้รับมือสงครามการค้าจะต้องเน้น 2 S ได้แก่ Speed & Strategy คือ ต้องแสวงหาโอกาสจากส่วนแบ่งทางการตลาดที่ลดลงจากสงครามการค้า ขณะเดียวกันต้องรักษาตลาดเดิมเอาไว้ให้ได้ ส่วนค่าเงินบาทกระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐยังไม่ปรับตัวเลขนี้
ทั้งนี้ จากการหารือกับผู้ประกอบการส่งออกก่อนหน้านี้ทางภาคเอกชนต้องการให้ตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามสถานการณ์การค้าและปรับพอร์โพลิโอประเทศด้านการค้าและการลงทุนให้สอดคล้องกัน ด้านการออกไปลงทุนในต่างประเทศจะต้องเป็นการออกไปลงทุนที่ช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมในไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์จะเชิญภาคเอกชนผู้ส่งออกประชุมหารืออีกครั้งวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ เพื่อหารือผลกระทบส่งออก และวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะประชุมกับทูตพาณิชย์ทั่วโลก โดยจะหารือในการรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น
ด้านศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ หรืออีไอซี ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2562 มีแนวโน้มขยายตัว 3.3% ต่ำกว่าที่เคย
ประมาณการไว้ที่ 3.6% เนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีต่อภาคการส่งออกสินค้าของไทย มากกว่าที่คาด รวมถึงเหตุการณ์ล่าสุดด้านสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่กลับมาปะทุอีกครั้ง ส่งผลต่อการส่งออกสินค้าของไทยโดยตรง โดยเฉพาะสินค้าส่งออกของไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าจีนที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์-อุปกรณ์และส่วนประกอบ หมวดแผงวงจรไฟฟ้า ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี