นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 อนุมัติและเห็นชอบ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินกับกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (กลุ่ม CPH) ผู้ชนะการประมูลเส้นทางสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา มูลค่าการลงทุนในส่วนภาคเอกชน 117,226 ล้านบาท นับว่าต่ำกว่า ครม.อนุมัติกรอบลงทุนไว้ 2,198 ล้านบาท ในวงเงิน 119,425 ล้านบาท
ในส่วนการร่วมลงทุนของ ร.ฟ.ท. 149,650 ล้านบาท จะนำส่งให้ภาคเอกชน CPH สำหรับก่อสร้างรายปี 14,965 ล้านบาท ระยะเวลา 10 ปี ทำให้วงเงินลงทุนทั้งโครงการจาก ร.ฟ.ท. และเอกชน รวม 224,500 ล้านบาท โดยจะลงนามสัญญาวันที่ 15 มิถุนายนนี้ตามแผน มั่นใจว่าการก่อสร้างโครงการจะเสร็จ และเปิดให้บริการปี 2567 โดย ครม.ให้รับข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดอย่างเคร่งครัด เช่น การส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนเข้าดำเนินการก่อสร้างโครงการ โดยไม่ทำให้ ร.ฟ.ท.ผิดสัญญา กำหนดให้มีหน่วยงานติดตาม กำกับ และบริหารสัญญาร่วมลงทุนอย่างใกล้ชิดตลอดอายุโครงการ
ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุมยังมีมติอนุมัติให้ ร.ฟ.ท. ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่ - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม ในวงเงิน 66,848.33 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%) ระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 - 2568 ด้วยวิธีประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ในส่วนของลักษณะของโครงการจะดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟใหม่ จำนวน 2 ทาง เป็นคันทางระดับดิน และบางส่วนเป็นทางรถไฟยกระดับ ระยะทางประมาณ 355 กิโลเมตร ผ่านพื้นที่ทั้งหมด 70 ตำบล 16 อำเภอ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร มุกดาหาร และนครพนม โดยมีการก่อสร้างสถานีรถไฟใหม่ จำนวน 30 สถานี 1 ชุมทาง ลานบรรทุกตู้สินค้า 3 แห่ง และย่านกองตู้สินค้า 3 แห่ง มีโรงซ่อมบำรุงบริเวณสถานีภูเหล็ก จังหวัดขอนแก่น คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในเดือน มกราคม2564 แล้วเสร็จปลายปี 2567 สามารถเปิดให้บริการประชาชนได้ต้นปี 2568
ในวันเดียวกัน นายสุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยถึงผลศึกษาอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า ว่า กรมการขนส่งทางราง จะต้องควบคุมอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าและโครงการเกี่ยวเนื่อง โดยจากการเก็บข้อมูลพบว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพงเกินกว่ารายได้ของผู้มีรายได้น้อยส่งผลให้ผู้ใช้บริการเป็นกลุ่มคนรายได้ปานกลางและรายได้สูง ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถใช้ได้ ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาที่พบว่าข้อมูลว่าอัตราค่ารถไฟฟ้าของไทยสูงกว่าค่ารถไฟฟ้าในประเทศสิงคโปร์มากกว่า 20% แม้ว่าสิงคโปร์จะมีการปรับค่ารถไฟฟ้าตามขนาดเศรษฐกิจใหม่และรายได้ประชากรแล้ว
พร้อมกันนี้ได้เสนอให้ทบทวนการส่งเสริมผู้มีรายได้น้อยในการใช้รถไฟฟ้าผ่านบัตรสวัสดิการที่มีวงเงิน 500 บาทต่อเดือนนั้น ยังไม่เพียงพอและไม่สอดคล้องกับค่ารถไฟฟ้าที่เฉลี่ยต่อเที่ยวอยู่ที่ 30-40 บาท และมองว่าควรพิจารณาเพิ่มวงเงินเป็น 700-800 บาทต่อเดือน ให้เหมาะสมกับรายได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี