นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) แถลงแผนการดำเนินงานหลังออกจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่ต้องจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรและมอบหมายให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลไอแบงก์ (แผนฟื้นฟูฯ) ว่าปีนี้ธนาคารตั้งเป้ากำไรสุทธิ 1,100 ล้านบาท และปล่อยสินเชื่อ 12,000 ล้านบาท จะเน้นการพัฒนาธุรกิจเพื่อเพิ่มลูกค้าให้มากขึ้น โดยเน้นลูกค้ากลุ่มพี่น้องมุสลิมและลูกค้ารายใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการมี Mobile Banking ที่จะให้บริการได้ภายในกลางปี 2563 ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการมากขึ้น
สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPF) ยอมรับว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 9,300-9,400 ล้านบาทจากปัจจุบันกว่า 9,000 ล้านบาท แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีกลุ่มลูกค้าที่ปรับโครงสร้างหนี้บ้างแล้ว แต่มองว่ายังมีลูกค้าบางกลุ่มที่อาจตกชั้นมาเป็นค้างชำระหนี้เกินกว่าที่กำหนดส่งผลให้ NPF สิ้นปีมีโอกาสขยับขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าระยะยาว 2-3 ปีข้างหน้า NPF มีแนวโน้มลดลงจากแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ และเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นจึงเตรียมเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างองค์กรให้กับกระทรวงการคลังพิจารณา โดยจะเน้นการทำธุรกิจเชิงรุกที่ไม่เน้นชาวมุสลิมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการให้ความสนับสนุนลูกค้ารายใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลการดำเนินงานดีขึ้นส่วนการถือหุ้น บมจ.อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง (AMANAH) ที่ธนาคารมีอยู่ในสัดส่วน 48.75% ยังไม่มีแผนขายหุ้นออกเพราะภารกิจหลักได้ให้กรรมการผู้จัดการผลักดันและยกระดับการทำงานปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของทางธนาคารให้ดีขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธนาคารอย่างยั่งยืนเป็นลำดับแรก
นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการผู้จัดการ ไอแบงก์ กล่าวว่า ณ สิ้นปี 2561 ธนาคารสามารถทำกำไรเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีกำไรสุทธิ 531 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 8.05 หมื่นล้านบาท และยังเดินหน้าพัฒนากระบวนการและระบบงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและดำเนินการสร้างความยั่งยืนตามนโยบายที่คณะกรรมการธนาคารมอบไว้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารมีกำไรสุทธิ ณ สิ้นไตรมาส 1/62 อยู่ที่กว่า 170 ล้านบาท มีสินเชื่อรวมประมาณ 52,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2561 ที่ 2,510 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.02% และสามารถลดต้นทุนเงินฝากได้ดีกว่าเป้าหมายปี 2562 ที่ 0.23% ด้านประสิทธิภาพของการบริหารจัดการต้นทุนต่อรายได้ อยู่ที่ 70% ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีกว่าเป้าหมาย
สำหรับการดำเนินงานปีนี้มองว่าจะเผชิญกับความท้าทายค่อนข้างมากจากภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับความเข้มงวดของหน่วยงานกำกับที่เข้ามาคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อของธนาคารมากขึ้น เช่น การออกเกณฑ์ LTV ใหม่ ทำให้ภาพรวมของสินเชื่อหลายธนาคารชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามธนาคารยังคงต้องเดินหน้าแก้ NPF ให้มีแนวโน้มที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และพยายามที่จะช่วยเหลือลูกค้าที่ยังมีแนวโน้มสามารถแก้ปัญหาได้โดยการปรับโครงสร้างหนี้
แต่ในส่วนของลูกค้าที่ไม่สามารถชำระคืนหนี้ให้ธนาคารได้แล้ว ธนาคารจะดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายใน 3-4 ปีนี้ จะพยายามลด NPF ให้ลดลงมาอยู่ที่ 5%
ปัจจุบันธนาคารจึงหันมามุ่งเน้นปรับปรุงโครงสร้างและกระบวนการทำงานต่างๆ เพื่อให้มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเดินหน้าธุรกิจไปได้ด้วยตัวเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี