นางวจีทิพย์ พงษ์เพ็ชร ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า วันที่ 13 สิงหาคม 2562 จะมีการลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างสมาคมธนาคารไทยกับธนาคารพาณิชย์ถึงแนวนโยบายการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ นโยบายการให้สินเชื่อรายย่อยอย่างเหมาะสม เพื่อดูแลปัญหาหนี้เกินตัวของภาคครัวเรือน
เนื่องจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์หนี้ครัวเรือนเร่งตัวขึ้นมากคนไทยเป็นหนี้เร็วขึ้น มากขึ้น นานขึ้น โดยหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี เพิ่มขึ้นกว่า 25% จากปี 2552 ซึ่งอยู่ที่ 53.5% ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 78.7% ในปี 2561 เป็นอันดับ 2 ของเอเชีย ส่วนอันดับ 1 เป็นเกาหลีใต้ อยู่ที่ 97.7% โดยคนอายุ 60-69 ปี มีหนี้เฉลี่ย 453,438 บาทต่อราย และ คนอายุ 70-79 ปี มีหนี้เฉลี่ย 287,932 บาทต่อราย
นโยบายดังกล่าว ประกอบด้วย 5 ข้อ 1.ปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่คำนึงถึงผลกระทบต่อลูกค้า โดยสิ่งที่ควรทำ คือ การกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ หรือ KPI พนักงานที่ผูกกับเป้าสินเชื่อเป็นหลัก ทำให้พนักงานมีแนวโน้มเสนอผลิตภัณฑ์ โดยไม่ดูถึงความต้องการของลูกค้า 2.การพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้า โดยสิ่งที่ไม่ควรทำ คือ การออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ผ่อนน้อยช่วงแรก แต่จ่ายก้อนใหญ่ในช่วงท้ายจนเกินความสามารถในการชำระหนี้ 3.การเสนอขายผลิตภัณฑ์ โดยแจ้งรายละเอียดที่ชัดเจน และไม่กระตุ้นการก่อหนี้เกินความจำเป็น 4.การพิจาณาให้สินเชื่อ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้กู้ และยังมีเงินเหลือดำรงชีพได้ และ 5.กำหนดเงื่อนไขในสัญญาที่เป็นธรรมต่อลูกค้าเป็นหนี้เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
ทั้งนี้ ภายหลังการเซ็นเอ็มโอยูต้องการเห็นธนาคารพาณิชย์มีแผนปฏิบัติทันที และมีการปรับกระบวนการทำงานภายในให้ตอบโจทย์ทั้ง 5 ข้อ โดยอยากเห็นความชัดเจนภายในปี 2563 นี้
นอกจากนี้ ธปท.จะติดตามภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) โดยเฉพาะสินเชื่อที่ให้กับกลุ่มเปราะบาง ซึ่งต้องการให้สถาบันการเงินติดตามลูกค้าที่มีกลุ่มเสี่ยงรวดเร็วและใกล้ชิดมากกว่ากลุ่มปกติ โดย ธปท.จะเข้าไปติดตามกระบวนการภายในของสถาบันการเงินว่ามีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าคุณภาพหนี้ของสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ดีขึ้น และหนี้เสียจะลดลง
ก่อนหน้านี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์เปิดเผยว่าหนี้ครัวเรือนในช่วงไตรมาส 4 ปี 2561 หนี้สินครัวเรือนเท่ากับ 12.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.0% และคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพี เท่ากับ 78.6% เพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน และเมื่อเทียบกับต่างประเทศพบว่าประเทศไทยมีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ในอันดับที่ 10 จาก 89 ประเทศทั่วโลก
สำหรับไตรมาสแรกปี 2562 หนี้สินครัวเรือนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ขยายตัว 10.1% สูงสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2557 เป็นต้นมา เนื่องจากการเร่ง ตัวก่อหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย และความต้องการซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้น โดยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดเนื่องจากอาจกระทบความสามารถในการชำระหนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี