เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน "ไทยแลนด์-เกาหลี บิสสิเนส ฟอรัม:Thai-Korea Business Forum" ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จัดขึ้นที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ว่าประเทศเกาหลีเป็นประเทศเป้าหมายที่ไทยจะดึงดูดการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนของเกาหลีเข้ามาลงทุนในไทยกว่า 400 บริษัท ซึ่งการหารือร่วมกันครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่าเกาหลีให้ความสำคัญกับไทยในฐานะหุ้นส่วนเศรษฐกิจและการลงทุน มีความพร้อมร่วมกันลงทุนด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม
โดยเบื้องต้นให้มอบหมายให้บีโอไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการให้มีความร่วมมือเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด โดยปี 2563 ไทยหวังว่าเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างไทย - เกาหลี ขึ้นจาก 1.4 - 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเป้าหมายที่ท้าทาย อีกทั้งรัฐบาลจะเร่งพัฒนาบุคลากร เตรียมความพร้อมด้านแรงงานที่มีทักษะความรู้ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในอุตสาหกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน และพัฒนาต่อยอดบุคลากรในอุตสาหกรรมเดิม รองรับการลงทุนในอนาคต
ทั้งนี้ จะอาศัยจุดแข็งที่ไทยมีความได้เปรียบเรื่องทำเลที่ตั้ง สามารถเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค มีโครงสร้างพื้นฐานครบวงจร มีนโยบายผลักดันสู่ไทยแลนด์ 4.0 และต่อยอดไทยแลนด์ พลัส 1 มีกฎหมายและกติการองรับการลงทุนชัดเจน สะท้อนศักยภาพไทยมีความพร้อมเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ และใช้จุดแข็งที่เกาหลีมีเข้ามาลงทุนในไทยในโอกาสที่ไทยประกาศให้ปีนี้เป็นปีแห่งการลงทุน
โดยรัฐบาลไทยตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของสาธารณรัฐเกาหลี ทั้งด้านการค้าการลงทุน จากการที่สามารถใช้พลังด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งผสมผสานกับพลังด้านวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ในการสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ขณะที่ผู้ประกอบการในทุกระดับ รวมทั้งสตาร์ทอัพของสาธารณรัฐเกาหลีก็มีเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมที่โดดเด่น จุดแข็งต่างๆ ทั้งความสามารถเชิงเทคโนโลยี ประสบการณ์ในหลากหลายอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการเกาหลีใต้ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างสูงในระดับโลก เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาของประเทศไทย ในฐานะที่เป็นประตูสู่ภูมิภาค CLMVT และมีบทบาททางเศรษฐกิจที่สำคัญในอาเซียน
"ประเทศไทยได้เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อเสริมความโดดเด่นด้าน "Connectivity" ในทุกมิติ การสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการเร่งพัฒนาบุคลากรที่มี องค์ความรู้ในเทคโนโลยีใหม่ๆ ดังนั้น จะใช้จุดแข็งที่มีในการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในประเทศไทย โดยใช้ไทยเป็นฐานในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านใน CLMV และอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้เป็นปีแห่งการลงทุนที่ท่านจะได้สิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติม" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายมุน แช อิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี กล่าวว่า ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกัน 3 ประการ ประกอบด้วย 1.การปฏิวัติอุตสาหกรรมสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผลักดัน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ ไบโอชีวภาพ และเครื่องมือการแพทย์สมัยใหม่ 2.การสร้างความร่วมมือสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ (สตาร์ทอัพ) ต่อยอดนโยบายของไทยที่ปัจจุบันผลักดันสตาร์ตอัพให้เพิ่มขึ้นได้ 30%
3.การทำงานร่วมกันเพื่อการค้าเสรีระหว่างไทย-เกาหลีตามนโยบายของประเทศที่เปิดกว้างด้านอุตสาหกรรมที่มีพื้นฐานจากสินค้าเกษตรกรรม โดยหวังเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างเกาหลี - ไทย จากปัจจุบัน 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มีแรงงานไทยในเกาหลี 80,000 คน และมีแรงงานเกาหลีในไทย 20,000 คน อย่างไรก็ตาม ในเดือน พ.ย.นี้ จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่เกาหลี เพื่อเปิดโอกาสการสร้างความร่วมมือด้านต่างๆ
"มิตรภาพของไทยและเกาหลีเหมือนสุภาษิตไทยคำหนึ่งที่ว่าเพื่อนแท้เหมือนทองคำที่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะไทยและเกาหลีเป็นเพื่อนแท้ต่อกัน มีการช่วยเหลือและร่วมมือกันมานาน มิตรภาพนี้จะยั่งยืนต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง" นายมุน แช อิน กล่าว
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่าไทยมีจุดแข็ง 8 ประการ คือ 1.ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ของการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน 2.ไทยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งรถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ สนามบินที่เชื่อมโยงภูมิภาค โดยปี 2562-2567 ไทยตั้งเป้าหมายมีมูลค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 6.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 3.มีโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ดึงดูดการลงทุนภูมิภาค 3.ไทยมีอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตที่เข้มแข็ง อาทิ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีผู้เล่นกว่า 2,000 บริษัท อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี เป็นต้น 4.การรองรับตลาดในประเทศที่มีขนาดใหญ่ตอบโจทย์ประชาชน 75% ของประชากรไทยรวมประมาณ 67 ล้านคน ที่มีพฤติกรรมการใช้โซเชียลมากขึ้น
5.การส่งเสริมสตาร์ทอัพที่เข้มแข็ง 6.การมีต้นทุนและความเป็นอยู่ที่ดี 7.การพัฒนาทักษะบุคลาการที่มีคุณภาพเพื่อผลิตคนให้คนกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และ8.ภาครัฐมีนโยบายที่อำนวยความสะดวกและมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน โดยบีโอไอมีการแก้กฎหมายที่เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น เช่น สิทธิประโยชน์การยกเว้นอากร สินค้าและวัตถุดิบที่นำมาใช้ในงานวิจัยและพัฒนามากขึ้นสามารถดึงการลงทุน อีกทั้งปีนี้โครงการลงทุนที่มีมูลค่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จะได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานและได้รับยกเว้นภาษี 50% อีก 3 ปี เป็นต้น
นายปาค ยง มัน ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมสาธารณรัฐเกาหลี กล่าวว่า วันนี้มีนักธุรกิจเข้าร่วมงานกว่า 600 คน หรือกว่า 100 บริษัท มีความสำคัญอย่างมากต่อเกาหลี เหมือนได้เปิดขอบฟ้าความร่วมมือแบบทวิภาคี ซึ่งหอการค้าฯ เกาหลีจะร่วมกับบีโอไอส่งเสริมการลงทุนระหว่างไทย - เกาหลี อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ยานยนต์ หุ่นยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี