นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย แถลงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ว่าที่ประชุมมองในช่วงที่เหลือของปีนี้เศรษฐกิจไทยยังอยู่ท่ามกลางความกดดันต่างๆ ทั้งจากภาคต่างประเทศ ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และปัญหาการค้าระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลี ความเสี่ยงจากประเด็นการถอนตัวออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู) รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายภายในประเทศก็ถูกกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง แต่ล่าสุดยังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ทั้งนี้ กกร.ยอมรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 2562 มีโอกาสเติบโตต่ำกว่าปัจจุบันที่ประเมินไว้ที่ 2.9-3.3% ส่วนหนึ่งมีความกังวลจากปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทที่แข็งค่ากว่าค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคและมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง จึงอยากให้ทางการออกมาตรการเพื่อดูแลการแข็งค่าของเงินบาทโดยเร็ว
“หากปล่อยให้สภาวการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อส่งออกให้ลดลงตามไปด้วยจากที่คาดการณ์ส่งออกปีนี้ไว้ที่ติดลบ 1%ถึงโตได้ 1% และฉุดจีดีพีที่คิดว่าจะโตต่ำกว่าเป้าหมายอยู่แล้วให้มีโอกาสลดลงได้อีก ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กกร.ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบอีกครั้งประกอบการพิจารณาในการประชุมรอบถัดไปช่วงเดือนตุลาคมนี้” นายปรีดีกล่าว
ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกจาก 1.25% เพื่อชะลอการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติอาจไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องลดแรงกดดันต่อการแข็งค่าเงินบาทได้ทั้งหมด เพราะการแข็งค่าของเงินบาทขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง เห็นได้จากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังเกินดุล ทำให้มีเงินเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง เป็นต้น
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) กล่าวว่า ขณะนี้จะเห็นว่าค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและแข็งค่าค่อนข้างมากเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยแข็งค่าขึ้น 14% เมื่อเทียบค่าเงินวอนของประเทศเกาหลี และค่าเงินหยวนของจีน 10% ขณะที่ค่าเงินดองของเวียดนามทรงตัว ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องกันว่าต้องกลับไปเร่งศึกษาหาข้อมูลที่ชัดเจนถึงปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาเพื่อรีบนำกลับมาเสนอรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พิจารณาเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการผ่อนคลายการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น แต่ต้องเตรียมรับมือกับธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่จะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในครั้งถัดไป เท่ากับจะยิ่งทำให้เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่า และส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทแข็งค่ามากขึ้นอีก สุดท้ายก็จะส่งผลกระต่อการส่งออกรวมถึงการท่องเที่ยวของไทยไปด้วย
“ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องคุยกันถึงแนวทางรับมือกับปัญหา เราอาจใช้จังหวะที่เงินบาทแข็งค่านี้สนับสนุนให้มีการออกไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้นด้วย รวมถึงการออกพันธบัตรที่ต้องทำโดยเร็ว อีกทั้งในส่วนของการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อดูแลด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายด้านการเงิน ซึ่งประกอบด้วย องค์กรอิสระต่างๆ อาทิ ธปท. สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กระทรวงการคลัง เป็นต้น ที่ภาครัฐมีแนวทางในการจัดตั้งนั้นในส่วนของกกร. มีความเห็นว่าควรจะดึงภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วม เพื่อเสนอในมุมมองของภาคเอกชนด้วย”นายสุพันธุ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี