หลังจากการเผยโฉม ALL-NEW MAZDA3 อย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมากระแสตอบรับแรงเกินคาดด้วยยอดจองทะลุกว่า 1 พันคันภายในระยะเวลาแค่ 4 วัน และเพื่อเป็นการตอกย้ำสมรรถนะที่โดดเด่น มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ได้จัดทริปทดสอบALL-NEW MAZDA3 ที่มาพร้อมสกายแอคทีฟ แพลตฟอร์ม เจเนอเรชั่นใหม่ SKYACTIV-VEHICLE ARCHITECTURE และสุดยอดเทคโนโลยีความปลอดภัย i-ACTIVSENSE รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยมีให้เลือก 2 สไตล์ ทั้งแบบซีดาน 4 ประตู และฟาสท์แบค 5 ประตู
ALL-NEW MAZDA3 รุ่นนี้ นับเป็นการเปิดตัวเจนเนอเรชั่นที่ 7 รุ่นแรกในเมืองไทย และรุ่นที่ 4 ของมาสด้า3 โดยจะเป็นตัวหลักในการทำตลาดในไทยและทั่วโลก เพื่อยกระดับตลาด C-Segment ด้วยเทคโนโลยียานยนต์ที่ถูกคิดค้น และพัฒนาขึ้น โดยให้ความสำคัญกับมนุษย์อย่างแท้จริง ทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร รวมถึงผู้ใช้ถนน
การออกแบบภายนอก ทั้งฟาสท์แบค และซีดาน มีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยตัวถังรถฟาสท์แบค มีรูปทรงต่างจากรุ่นเดิมอย่างชัดเจน เน้นดีไซน์ไร้เส้นสาย ดูแข็งแกร่ง สไตล์สปอร์ตหรู มาพร้อมกระจังหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ ขณะที่รถซีดาน ดีไซน์แบบสามกล่อง หรูหรา คลาสสิก กระจังหน้าเน้นความหรูหรา ภูมิฐาน
ในส่วนของภายในห้องโดยสาร หรูหรา ทันสมัย เลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมียมคุณภาพสูง ผ่านการออกแบบและพัฒนาใหม่ทั้งหมด โดยยึดหลักมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ในการจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆ ในตำแหน่งที่เหมาะสมรวมถึงติดตั้งเทคโนโลยีสื่อสาร Mazda Connect มาพร้อม Apple CarPlay แสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสีCenter Display แบบ Widescreen ขนาด8.8 นิ้ว ควบคุมด้วยปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander และระบบเสียงคุณภาพ Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง
ด้านขุมพลังเครื่องยนต์สกายแอ๊กทีฟเบนซิน SKYACTIV-G ขนาด2.0 ลิตร ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ด้วยเทคโนโลยีที่ฉีดเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรงผนวกกับหัวฉีดดีไซน์ใหม่ ส่งผลให้มีแรงบิดเพิ่มขึ้น ประหยัดน้ำมันมากขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีกำลังสูงสุด 165 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 213นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที และประหยัดน้ำมันสูงสุด 15.9 กิโลเมตรต่อลิตร
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่ขั้นสูง หรือ G-VectoringControl Plus (GVC Plus) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ โดยเริ่มใช้กับมาสด้า3 เป็นรุ่นแรกซึ่งเป็นการใช้เบรกเพื่อเพิ่มการควบคุมการหักเหของตัวรถ (yaw moment) เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการควบคุมรถ เมื่อผู้ขับขี่ขับรถออกจากโค้งโดยคืนพวงมาลัยกลับไปที่ตำแหน่งกึ่งกลาง GVC Plus เพิ่มแรงเบรกเพียงเล็กน้อยไปที่ล้อด้านนอก ทำให้เกิดโมเมนต์ที่มีเสถียรภาพ ซึ่งจะช่วยให้รถกลับมาวิ่งตรงเหมือนเดิม ระบบรับรู้ช่วงการเปลี่ยนแปลงที่ราบเรียบอย่างต่อเนื่องของการหักเห (yal) การโครงของตัวรถ (roll) และการกระดกหน้า-หลัง (pitch) แม้อยู่ภายใต้แรงเข้าสู่ศูนย์กลางมาก เป็นการปรับปรุงความสามารถของยานพาหนะในการตรวจสอบการหมุนพวงมาลัยอย่างฉับพลัน และมุมทางออกจากโค้งที่แม่นยำ นอกจากนี้ GVC Plus ยังให้ความรู้สึกมั่นใจในการควบคุมเมื่อเปลี่ยนเลน และเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนของล้อ ทั้ง 4 ให้ดียิ่งขึ้น
ด้านความปลอดภัยมาตรฐาน ที่ติดตั้งมาให้กับทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างตัวถังบนแพลตฟอร์มเจนเนอเรชั่นใหม่ พร้อมถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง เบรก ABS 4 ล้อ พร้อม EBD เป็นต้น รวมทั้งการติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัย i-ACTIVSENSE อาทิ ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า CTS (Cruising & Traffic Support) ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ Advanced SBS (Advanced Smart Brake Support) ระบบช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง SBS-RC (Smart BrakeSupport-Reverse Crossing) ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเบรกและหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SBS-R (Smart Brake Support-Reverse) ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps) ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring) และระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง (360° View Monitor)
ช่วงการทดสอบ ทีมประชาสัมพันธ์ พาสื่อมวลชนบินลัดฟ้าไป จ.ภูเก็ต แล้วขับไป จ.พังงา ตลอดเส้นทางได้ทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์ และช่วงล่างกันอย่างเต็มที่ จะกี่โค้งก็มั่นใจ ระบบ GVC Plus สุดยอดมากครับ เกาะหนึบทุกโค้ง อัตราเร่งดีมาก เครื่องยนต์เท่ารุ่นเดิม แต่เพิ่มแรงบิดมากขึ้น ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น มาพร้อมแพทเดิ้ลชิพ เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ตามชอบใจช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างสนุกสนานมากขึ้น และอีกสิ่งที่ต้องยอมรับว่าสุดยอดจริงๆ คือ การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารเงียบขึ้นกว่าเดิม เสียงรบกวนต่างๆ แทบจะไม่มีเลย จะได้ยินก็แค่ระบบเสียงคุณภาพ Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง และเสียงของเครื่องยนต์ ที่เวลากดคันเร่ง กระหึ่มผ่านท่อไอเสียคู่ เท่านั้นเอง
สำหรับราคาจำหน่าย ALL-NEW MAZDA3 ทั้งรุ่น ฟาสท์แบค 5 ประตูและซีดาน 4 ประตู จำหน่ายในราคาเดียวกันคือ รุ่น 2.0 (C) ราคา 969,000 บาท, รุ่น2.0 (S) ราคา 1,069,000 บาท และ รุ่น 2.0 (SP) ราคา 1,198,000 บาท คงไม่แพงเกินไปสำหรับ สมรรถนะและเทคโนโลยีที่มีให้อย่างเหนือชั้น ถ้าชอบต้องไปลองขับก่อนตัดสินใจ!!
นิติ โมราวรรณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี