นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) สิ้นเดือนกันยายน 2562 ปิดที่ 1,637.22 จุดลดลง 1.1% จากสิ้นเดือนก่อน แต่เพิ่มขึ้น 4.7% จากสิ้นปี 2561 โดยเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในอาเซียน ขณะที่ความขัดแย้งทางการค้าผ่อนคลายมากขึ้นจากการเปิดเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐ การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกอบกับเงินสกุลเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าส่งผลดีต่อการค้าของญี่ปุ่นผู้ลงทุนจึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในเอเชียตะวันออก
โดยมี 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า SET Index ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มบริการ ซึ่งมีปัจจัยภายในประเทศสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ ทั้งโอกาสจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารและพลังงาน การขยายตัวของเขตเมืองและการท่องเที่ยว
ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 11,576 ล้านบาทลดลงจากเดือนก่อน มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai เดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ 57,417 ล้านบาท ลดลง 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทยสิ้นเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ระดับ 16.5 เท่า และ 17.3 เท่า ตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.4 เท่า และ 15.5 เท่า ตามลำดับ ด้านอัตราเงินปันผลตอบแทนสิ้นเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ระดับ 3.12% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ MSCI Emerging Market ที่อยู่ที่ 2.93%
สำหรับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai สิ้นเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ 17.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% จากสิ้นปี 2561 สอดคล้องกับทิศทางของดัชนี ขณะที่ 9 เดือนแรก ของปี 2562 มูลค่าการระดมทุนในตลาดแรก (IPO) ของไทยอยู่ที่ 22,839 ล้านบาท
ผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหาร (CEOSurvey) เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและการเติบโตของธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 พบว่า CEO คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 จะเติบโตลดลงโดยคาดว่าจะขยายตัวแค่ 2-3% โดยครึ่งปีหลังรับแรงสนับสนุนจากปัจจัยภายในประเทศทั้งนโยบายการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ เสถียรภาพการเมืองไทย และการท่องเที่ยว ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญก็คือสถานการณ์เศรษฐกิจโลก สงครามการค้า ค่าเงินบาทหรือการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากทิศทางการค้า โดย 85% ของ CEO ที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าสงครามการค้าจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทย
ขณะที่อุตสาหกรรมของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในครึ่งปีหลังมีทิศทางที่แย่ลงเมื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อน โดย 42% ของ CEO คาดว่าอุตสาหกรรมของตนจะแย่ลงตามทิศทางภาวะเศรษฐกิจอย่างไรก็ตาม 31% คาดว่าอุตสาหกรรมจะปรับดีขึ้นต่อเนื่องจากครึ่งแรกของปี2562 อย่างไรก็ตาม 52% ของ CEO คาดว่าผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2562 จะปรับตัวดีขึ้นและรายได้รวมจะเติบโตมากกว่า 6% โดยเฉพาะบจ.ในหมวดพาณิชย์ หมวดการแพทย์ หมวดประกันภัยและประกันชีวิต เป็นต้น
แนวโน้มการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้าCEO คาดว่าจะรักษาระดับการลงทุนในระดับเดิม โดยรอดูความชัดเจนของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน อย่างไรก็ตามพบว่า 50%ของ CEO วางแผนในการขยายการลงทุนในต่างประเทศ เป้าหมายหลักในการลงทุนต่างประเทศยังคงเป็นประเทศในกลุ่มเพื่อนบ้านในอาเซียน ทั้งในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) และอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
ด้านการส่งออกพบว่า CEO คาดการณ์การส่งออกในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2562 โดย 36%คาดว่าจะอยู่ในระดับเดิม ขณะที่ 33% คาดว่าจะแย่ลงและ 31% คาดว่าจะดีขึ้น ขณะที่ CEO ส่วนใหญ่กังวลใจมากขึ้นเกี่ยวกับกำลังซื้อภายในประเทศ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักในปัจจุบัน และวิตกกังวลเพิ่มขึ้นมากสำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจของคู่ค้าต่างประเทศ โดยขยับมาเป็นอันดับ 2 จากอันดับ 8 ขณะที่ปัญหาขาดแคลนแรงงานมีฝีมือลดลงไปอยู่อันดับ 3
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี