nn เมื่อสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกเริ่มเปิดสงครามการค้ากันอีกรอบเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้สำหรับผลกระทบที่จะเกิดกับภาคการส่งออกของไทย....งานนี้ สหรัฐอเมริกา เปิดเกมก่อน..โดยประกาศว่า สหรัฐอเมริกากำลังจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าสูงถึง 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.66 แสนล้านบาท โดยพุ่งเป้าไปที่สินค้าที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่างๆ ซึ่งสินค้าเป้าหมายที่สหรัฐระบุถึง ครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) แบตเตอรี่ เหล็กแร่ธาตุสำคัญ รวมไปถึงเซมิคอนดักเตอร์ โดยรถยนต์อีวีจะถูกขึ้นภาษี 4 เท่าเป็น 100%ขณะที่อัตราภาษีของเซมิคอนดักเตอร์จะปรับขึ้นจาก 25% เป็น 50% ส่วนเหล็กและอะลูมิเนียมบางชนิดจะถูกปรับขึ้นภาษีประมาณ 3 เท่า รวมถึงมีการเพิ่มภาษีสำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของรถอีวี และชิ้นส่วนของแบตเตอรี่ ด้านกราไฟต์ธรรมชาติและแร่ธาตุสำคัญอื่นๆ จะถูกเพิ่มจาก 0 เป็น 25% และเซลล์แสงอาทิตย์จะถูกเพิ่มอัตราภาษีจาก 25% เป็น 50%....โดยสหรัฐฯให้เหตุผลว่า... การดำเนินการปรับขึ้นภาษีสินค้าจีนดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้จีนขจัดแนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทรัพย์สินทางปัญญา และนวัตกรรม
ย้อนความของเรื่องนี้นั้น...เป็นผลสืบเนื่องจากการทบทวนอัตราภาษีในระหว่างการเปิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในสมัยของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ได้มีการประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าราว 3 แสนล้านดอลลาร์จากจีน ภายใต้การสอบสวนในมาตรา 301 ได้กลายมาเป็นเครื่องมือที่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ใช้ในการหาเหตุผลเพื่อขึ้นภาษี และผู้แทนการค้าสหรัฐจะมีหน้าที่ในการทบทวนผลกระทบของการเก็บภาษีหลังเวลาผ่านไป 4 ปี ซึ่งการประกาศเพิ่มอัตราภาษีของทำเนียบขาวในครั้งนี้ก็เป็นการดำเนินการภายใต้ ม.301 ของรัฐบัญญัติทางการค้าปี 1974
แน่นอนว่า จีนเองก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยเช่นกัน ซึ่งในครั้งนั้นจีนได้ประกาศเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่าราว 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.325 ล้านล้านบาท เพื่อตอบโต้การที่สหรัฐประกาศปรับขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน...ซึ่งในการนี้ จีนได้ประกาศแผนที่จะปรับเพิ่มภาษีตั้งแต่ 5-10%ต่อสินค้าสหรัฐมากกว่า 5,000 รายการ ซึ่งรวมถึงสินค้าเกษตรและน้ำมันดิบ และยังจะมีการเก็บภาษีกับรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐ 25%
ในครั้งนี้...นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ตอบคำถามผู้สื่อข่าวในเรื่องนี้โดยแสดงจุดยืนคัดค้านการขึ้นภาษีฝ่ายเดียวของสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก และว่า จีนจะใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมาย...แน่นอนว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คงไม่ต่างกับครั้งก่อน...คือจีนก็จะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเช่นกัน ในอัตราและมูลค่าที่สหรัฐกระทำกับสินค้าจีน...
สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับไทยคือ...ทั้งจีน และสหรัฐเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยทั้งคู่...สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และอีกหลายกลุ่ม ของไทยเป็นซัพพลายเชนของจีนและมีจีนเป็นประเทศส่งออกเป็นหลักเมื่อสินค้าจากจีนส่งออกได้ลำบากซัพพลายเชนอย่างไทยจึงหลีกไม่พ้นผลกระทบ...อีกประเด็นสำคัญสินค้าจากจีนก็จะทะลักเข้ามายังตลาดอื่น โดยเฉพาะไทย ชัดเจนที่สุดก็คือสินค้ากลุ่มเหล็ก และ รถยนต์EV....ส่วนตลาดสหรัฐฯสินค้าที่ส่งออกไปจากไทย หากว่าเป็นสินค้าที่มีกลุ่มทุนจีนเป็นเจ้าของก็จะโดนเล่นงานด้วยเช่นกัน เห็นได้จากตัวอย่างของกรณี แผงโซลาร์เซลล์....!! ถึงเวลานี้กระทรวงพาณิชย์ต้องวางแผนรับมือได้แล้ว...ไม่เช่นนั้นตัวเลขส่งออกปีนี้ที่คาดว่าจะโต 1.8% อาจจะติดลบก็เป็นไปได้
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี