ไทยยังส่งออกได้ "พาณิชย์" เชื่อตัดสิทธิ GSP ไม่กระทบ เตรียมตั้งโต๊ะเจรจากับตัวแทนผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ซึ่งจะเดินทางมาร่วมประชุม East Asia Summit ในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2562 นายกีรติ รัชโน ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากกรณีสหรัฐอเมริกาประกาศตัดสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรสินค้า (GSP) สินค้าไทย 573 รายการ มีผลบังคับใช้ 25 เม.ย. 63 โดยระบุว่า สาเหตุของการถูกตัดสิทธิ ครั้งนี้ คือเรื่องสวัสดิภาพแรงงาน ไม่เกี่ยวกับเรื่องค้ามนุษย์ และแรงงานเด็ก การตัดสิทธิจีเอสพีครั้งนี้เป็นผลจากสมาพันธ์แรงงานและสภาอุตสาหกรรมแรงงานสหรัฐฯ (American Federation Labor & Congress of Industrial Organization: AFL-CIO) ยื่นคำร้องให้ตัดสิทธิ GSP ไทย เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2556 และวันที่ 16 ตุลาคม 2558 เนื่องจากเห็นว่าไทยมิได้คุ้มครองสิทธิแรงงานตามมาตรฐานระหว่างประเทศ
นายกีรติ กล่าวยอมรับว่า ไทยพอทราบมาล่วงหน้าแล้ว เพราะสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว พร้อมย้ำว่าเป็นการตัดสิทธิชั่วคราว ยังมีเวลาเจราอีก 6 เดือนสำหรับแนวทางการแก้ปัญหา ที่ผ่านมากรมการค้าต่างประเทศ ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการที่ส่งออก ให้รับทราบแล้วว่า สิทธิพิเศษภาษีอาจไม่มีในอนาคต เพราะเป็นการให้โดยฝ่ายเดียว และไทยต้องพัฒนาตัวเองให้แข่งขันได้ ซึ่งผู้ประกอบการทราบดีว่าต้องปรับตัว เพิ่มนวัตกรรม สร้างมูลค่าสินค้า และต้องลดความเสี่ยง ได้เตรียมการหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดเดิม เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งมีประมาณ 10 ที่ เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก และแอฟริกา
อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่า ไทยจะเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ ทุกช่องทาง ยังมีเวลาอีก 6 เดือนในการเจรจาเพื่อทำความเข้าใจในหลายเรื่อง โดยกรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ย้ำต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลบวกของประเทศ โดยคาดว่า เวทีแรกที่จะเริ่มเจรจา กับตัวแทนผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ซึ่งจะเดินทางมาร่วมประชุม East Asia Summit ในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ก่อนที่การตัดสิทธิจะมีผลบังคับ 6 เดือนนับจากวันที่ 25 เมษายน 2563
“โดยหลักการแล้วสหรัฐฯ จะมีหลักในการทบทวนพิจารณา GSP กับประเทศผู้ที่ได้รับสิทธิฯ อาทิ ระดับการพัฒนาประเทศ (รายได้ประชาชาติต่อหัวไม่เกิน 12,055 เหรียญสหรัฐฯ) การเปิดตลาดสินค้าและบริการ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองสิทธิแรงงาน การกำหนดนโยบายลงทุนที่ชัดเจน และการสนับสนุนสหรัฐฯ ในการต่อต้านการก่อการร้าย รวมถึงการกำหนดมูลค่าการนำเข้าไม่เกินกฎว่าด้วยความจำเป็นด้านการแข่งขัน (Competitive need limitations : CNLs) โดยถือว่าสินค้านั้นมีความสามารถแข่งขันสูงในตลาดสหรัฐฯ และไม่จำเป็นต้องได้รับสิทธิ GSP ซึ่งกำหนดไว้ 2 กรณี คือ 1) มูลค่านำเข้าสหรัฐฯเกินมูลค่าขั้นสูงที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี โดยในปี 2561 กำหนดไว้ที่ 185 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (โดยให้เพิ่มขึ้นทุกปีๆ ละ 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และ 2) ส่วนแบ่งตลาดนำเข้าจากสหรัฐฯ เกินร้อยละ 50 แต่มูลค่านำเข้าสหรัฐฯ ของสินค้าดังกล่าวต่ำกว่ามูลค่าขั้นต่ำ (De Minimis Value) ที่สหรัฐฯ กำหนด ซึ่งในปี 2561 เท่ากับ 24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ “
นายกีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาสิทธิพิเศษทางการค้า GSP มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งจากประเทศที่สหรัฐฯให้สิทธิ GSP ทั้งหมด 119 ประเทศ ขยับขึ้นมาแทนอินเดียที่ถูกตัดสิทธิ GSP ไปเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา จากการระงับสิทธิ GSP ทั้ง 573 รายการ ไม่ได้หมายความว่า ไทยจะไม่สามารถส่งออกสินค้าดังกล่าวไปสหรัฐฯหรือสูญเสียมูลค่าที่ได้รับสิทธิ GSP ประมาณ 40,000 ล้านบาท ไทยยังคงส่งออกไปได้ตามปกติเพียงต้องเสียภาษีในอัตราปกติ (MFN Rate) เฉลี่ยประมาณร้อยละ 4.5 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณไม่เกิน 1,800 ล้านบาท
สำหรับสินค้าสำคัญที่ถูกระงับสิทธิ GSP ได้แก่ มอเตอร์ไซค์ แว่นสายตา เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติกและของทำด้วยพลาสติก อาหารปรุงแต่ง เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์ที่ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ทองแดง ผลิตภัณฑ์เซรามิก เครื่องประดับ โดยกลุ่มสินค้าที่ถูกเก็บภาษีอัตราสูงสุดคือ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและเครื่องครัวเซรามิก (ร้อยละ 26) และอัตราต่ำสุดคือเคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 0.1)
ทั้งนี้ การประกาศพิจารณาทบทวนสิทธิ GSP ครั้งนี้ ไม่ได้มีไทย เพียงประเทศเดียว แต่ยังมี โบลิเวีย อิรัก ยูเครน อุสเบกิสถาน ซึ่งถูกประกาศพิจารณาทบทวนสิทธิ GSP ในครั้งเดียวกัน แต่ต่อมาได้สหรัฐฯ ได้คืนสิทธิให้ 4 ประเทศ ซึ่งไทย ถูกตัดสิทธิประเทศเดียว นอกจากนี้ อินเดีย และ ตุรกี ก็ถูกตัดสิทธิแบบไทย ทุกรายการ เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ
อนึ่ง GSP คือ สิทธิพิเศษทางภาษี ที่ไทยได้รับจากประเทศพัฒนาแล้ว นั่นคือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งในอดีตไทยเคยได้รับสิทธิ GSP จาก สหภาพยุโรป รัสเซีย สวิสเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และญี่ปุ่น ด้วย ซึ่งประเทศพัฒนาแล้ว ให้สิทธิกับประเทศที่กำลังพัฒนา และประเทศด้อยพัฒนา ในการได้รับสิทธิลดหย่อนสิทธิพิเศษด้านภาษีทั้งนี้ ไทยได้รับสิทธิ GSP จาก สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2519 ซึ่งมีการทบทวนปรับให้เพิ่มและลดสิทธิ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการค้า ปัจจุบันโครงการ GSP ที่สหรัฐฯ ให้ไทย เป็นการต่ออายุครั้งที่ 10 ตั้งแต่ 1 ม.ค.61 – 31 ธ.ค.63 โดยเป็นการให้สิทธิฝ่ายเดียวกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มีทั้งรายการสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม พร้อมกำหนดเงื่อนไขการทบทวนสิทธิไว้ด้วยเช่น ยอดการส่งออกเกินกว่าปริมาณที่สหรัฐฯ กำหนด 185 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, รายได้ต่อหัวไม่เกิน 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่ที่ 6,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, การดูแลทรัพย์สินทางปัญญา, การดูแลสิทธิแรงงาน เป็นต้น
สำหรับสถิติการใช้สิทธิของไทย ตั้งแต่ปี 2519 ไทยใช้สิทธิ GSP ประมาณ 70% ส่วนมูลค่า 40,000 ล้านบาท หรือ 1,300 เหรียญดอลล่าสหรัฐฯ เป็นทั้งก้อนจาก 573 รายการที่ถูกตัดสิทธิ ซึ่งเป็นการคำนวณจากปีที่ผ่านมา ที่ไทยส่งออกสินค้าทั้งหมดภายใต้ GSP ซึ่งไทยยังส่งออกสินค้าได้เหมือนเดิม แต่ต้องเสียภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในอัตราปกติ ประมาณกว่า 4.5% ของราคาสินค้า กลุ่มที่มีผลกระทบสูงสุด เป็นกลุ่มภาชนะเซรามิก 26% ดังนั้นจะส่งผลกระทบต้องจ่ายภาษีเพิ่มประมาณ 1,500 -1,800 ล้านบาท ย้ำว่าไม่ใช่ภาระภาษีเพิ่มขึ้น 40,000 ล้านบาท ตามกระแสข่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี