กระทรวงดิจิทัลฯเปิดตัวศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) พร้อมทํางานร่วมกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT) (ศปอส.ตร.) เดินหน้าระดมทุกกลยุทธ์หนุนคนไทย รู้เท่าทันสื่อลวง
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดตัวศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) วันนี้ เน้นข่าวที่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชน คาดหวังให้เกิดการรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเผยแพร่ต่ออย่างรู้เท่าทันสื่อ และเป็นโอกาสดีที่มีการเปิดตัวศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT) ซึ่งเป็นความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ อีกด้วย
จากเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายพุทธิพงษ์ นําคณะผู้จัดงานเปิดตัวศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti- Fake News Center) เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และคณะรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์เปิดตัวศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) ซึ่งมีกําหนดการเปิดตัวศูนย์ฯ ในวันนี้ 1 พฤศจิกายน 2562 ณ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน)
กระทรวงดิจิทัลฯ ได้รับมอบนโยบายจากรัฐบาลให้ดูแล กลั่นกรอง ตรวจสอบ หรือกําจัดข่าวปลอม เน้นว่า เป็นข่าวที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง และจะมีการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจในข่าวที่ถูกต้อง เพื่อ ประชาชนทุกคนให้เข้าใจ และรู้เท่าทันว่าข่าวไหนปลอมข่าวไหนจริง ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ จะใช้กลไกการขับเคลื่อน โดย คณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน ที่จะมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการ สื่อมวลชน ทําหน้าที่ วางแผน กํากับ การดําเนินงาน และแผนการเผยแพร่ ตามขั้นตอนการพิจารณาข่าวปลอม การวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารออนไลน์ ข่าวที่เป็นกระแสโลกโซเชียล อย่างรู้เท่าทัน ของภาครัฐ
โดยมหีลักเกณฑ์ในการพิจารณาข่าวปลอมที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างเน้นย้ําว่าข่าวปลอมที่มีผลกระทบ ต่อสังคมในวงกว้างส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินต่อประชาชนโดยตรง เช่น โรคระบาด ภัยพิบัติ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ข่าวที่สร้างความแตกแยกในสังคม ข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสังคมตลอดจนข่าวที่ทําลายภาพลักษณ์ ต่อประเทศ และสิ่งที่สําคัญเรายึด code-of-principles ดังนี้ 1.ความเที่ยงธรรมและความปราศจากอคติ ในการคัดเลือกข่าว 2.ความเป็นส่วนบุคคลกับสิทธิเสรีภาพของการนําเสนอข่าว 3.การขัดกันด้านผลประโยชน์ และ ผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่นําไปสู่ความขัดแย้ง 4.ให้ความเป็นธรรมแก่ฝ่ายที่ถูกพาดพิงและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเท่าเทียมกัน 5.สามารถอธิบายกระบวนการการพิสูจน์ การตรวจสอบ แหล่งที่มาของบทความและข้อเท็จจริงต่างๆ ได้ 6.มีความรู้เกี่ยวกับข่าวนั้นๆ ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงในด้านต่างๆ ได้อย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ และโปร่งใส และสุดท้าย 7.เป็นหน่วยงานที่อิสระ ไม่ขึ้นต่ออิทธิพลของหน่วยงานหรือองค์กรใดๆ
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) หน้าที่หลักจะมีการติดตาม ตรวจสอบ ข้อมูลที่เผยแพร่ บนสื่อสังคมออนไลน์และระบบอินเทอร์เน็ต พร้อมวิเคราะห์แนวโน้ม และบ่งชี้ข้อมูลที่เป็นข่าวปลอม ประสาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อมูล ผลิตข้อมูลที่ถูกต้อง อีกทั้งจัดส่งข้อมูลต่อหน่วยงานที่เป็นเจ้าของเรื่อง ประกอบการดําเนินการตามอํานาจ หน้าที่ และข้อสําคัญขั้นตอนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องต่อประชาชน และสาธารณชน จะผ่านกลไกภาคสื่อสารมวลชน อาทิ เช่น สํานักข่าวไทย สมาคมนักข่าว หรือสื่อหน่วยงานอื่น ๆ เครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เป็นต้น
อีกบทบาทสําคัญของการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม คือ ส่งเสริมสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ สร้างจิตสํานึก รอบรู้เท่าทันเพื่อให้ประชาชนสามารถปกป้องตนเองจากปัญหาข่าวปลอม ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับการพัฒนาเครื่องมือระบบตรวจสอบข่าวปลอม ให้มีประสิทธิภาพ
"ข่าวปลอมที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินต่อประชาชนโดยตรง เช่น โรคระบาด ภัยพิบัติ เศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม ข่าวที่สร้างความแตกแยกในสังคม ข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม ตลอดจนข่าวที่ทําลายภาพลักษณ์ต่อประเทศ หลักๆ จะมี 4 กลุ่ม ดังนี้ 1.ข่าวกลุ่มภัยพิบัติ (น้ําท่วม แผ่นดินไหว เขื่อนแตก สึนามิ ไฟไหม้) 2.ข่าวกลุ่มเศรษฐกิจ การเงินการธนาคาร/หุ้น 3.ข่าวกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสําอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายอื่น และ 4.ข่าวกลุ่มนโยบายรัฐบาล /ข่าวสารทางราชการ/ ความสงบเรียบร้อยของสังคม/ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ" นายพุทธิพงษ์ กล่าว
เป้าหมายหลักคือ เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน มีช่องทางเพื่อให้ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ป้องกันการแชร์เนื้อหาข่าวที่ไม่เหมาะสม ตลอดจนสามารถรู้เท่าทันข่าวปลอม โดยกระทรวงดิจิทัลฯ เตรียมพิจารณาจัดทําเครื่องมือเพื่ออํานวยความสะดวก อาทิ web application เว็บไซต์ Anti-Fake News Center มีการทํางานในลักษณะ Online และ Offline เป็นไปตามมาตรฐานสากลของ International Fact Checking Network หรือ IFCN วิธีการแจ้งก็จะแบ่งหมวดการแจ้งตาม 4 กลุ่มหลักตามที่กล่าว ข้างต้น ศูนย์ทําหน้าที่รับแจ้งข้อมูลที่ต้องการตรวจสอบ และส่งต่อเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งจะมีกระบวนการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง แล้วแจ้งผลการตรวจสอบกลับมา ประชาชนจะสามารถตรวจเช็คข่าวปลอมได้ทันที เบื้องต้นคาด ว่าภายใน 2 ชั่วโมง และได้เน้นการมีส่วนร่วมให้กับประชาชน จึงพัฒนาเว็บไซต์ (www.antifakenewscenter.com) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการตรวจสอบข่าวสาร หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ ข้อมูลหรือข่าวที่มีการตัดต่อข้อมูล เนื้อหา การนําเสนอข้อมูลข่าวสารโดยปราศจากข้อเท็จจริง พร้อมทั้ง ชี้แจงเสนอข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและสนับสนุนการ ดําเนินงานร่วมกับภาคประชารัฐ (หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สมาคม เครือข่ายต่างๆ และภาค ประชาชน) สามารถตรวจสอบ สอบถาม และร่วมมือในแก้ไขการเผยแพร่ข่าวสาร หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ
นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ประสานความร่วมมือในการปฏิบัติงาน กับเครือข่ายสังคมออนไลน์ราย หลักๆ และจะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่วมกับหน่วยงาน ทุกกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสากิจ หน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ ง สร้างความเข้าใจร่วมกัน อีกทั้งจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ภายในเดือนพฤศจิกายน 2562 นี้ เพื่อสร้างแนว ปฏิบัติร่วมกัน และเป็นการสร้างเครือข่ายอีกทาง ปัจจุบัน หน่วยงานต่างๆ ได้มีการแต่งตั้งผู้แทนประสานงานกับศูนย์ ต่อต้านข่าวปลอม เพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลร่วมกับศูนย์ฯ และต้องได้คําตอบที่ถูกต้อง ชัดเจน และจะดําเนินการ เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี