สืบเนื่องจากเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่เชื่อมโยงความเกี่ยวเนื่องของการบริจาคเงินของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งให้กับมูลนิธิมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ซึ่งมีระดับบิ๊กๆ กองทัพบกร่วมเป็นกรรมการอยู่ จนกลายเป็นเป้าในการโจมตีทางการเมืองที่พยายามมีการโยงภาพมาสนับสนุนโจทย์ในการอภิปรายของฝ่ายค้านที่ “ตั้งธง” เรื่องของผลประโยชน์แฝงของการบริจาคโดยกลุ่มธุรกิจไว้อยู่แล้ว
เมื่อดูนิยามของคำว่า “เงินบริจาค” ในหัวข้อคำถาม-คำตอบเกี่ยวกับ CSR ที่ปรากฎในเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) (https://www.sec.or.th/cgthailand/TH/Pages/FAQ/CSRFAQ.aspx) จะพบคำอธิบายว่า “การบริจาคพอจะอนุมานได้ว่าเป็น CSR แบบหนึ่ง แต่ผลที่ได้อาจไม่ได้นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เพราะเงินหรือของที่บริจาคไปอาจไม่ได้ช่วยให้ผู้รับสามารถพึ่งตนเองได้ในระยะยาว ดังนั้น ในแวดวง CSR ในระยะหลัง จึงมีการพูดถึง "การบริจาคเชิงกลยุทธ์" โดยหนึ่งในหลักการสำคัญข้อหนึ่ง ก็คือ วัตถุประสงค์ของเงินบริจาค ผู้รับต้องนำสิ่งที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ตามวัตถุประสงค์
ขณะที่ ในฝั่งของผู้บริจาคนั้น แน่นอนว่าการทำ CSR สำหรับภาคธุรกิจแล้วคงมองเป็น "ต้นทุน" อย่างหนึ่ง ซึ่งผลตอบแทนที่ได้กลับมาซึ่งเห็นชัดเจนที่สุดคือ ชื่อเสียง ภาพลักษณ์ว่าเป็นองค์กรที่ห่วงใยสังคม ทำให้ลูกค้าเกิดความตระหนักรับรู้ในด้านดีกับองค์กร นำไปสู่ความตั้งใจซื้อหรือสนับสนุน ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสการขายสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การทำ CSR จึงถือเป็นการลงทุนที่อาจไม่ก่อผลทางตรงในระยะสั้น แต่เป็นการสร้างฐานความมั่นคงในระยะยาวสำหรับองค์กรที่มุ่งหวังความยั่งยืน
ดังนั้น เมื่อย้อนกลับมาดูถึงจุดเริ่มต้นของมูลนิธิมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด หรือเรียกกันทั่วไปว่า มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เป็นมูลนิธิที่กองทัพบก จัดตั้งขึ้นเพื่อสนองพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงสภาพปัญหาป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ฉะเชิงเทรา, สระแก้ว, จันทบุรี, ระยอง และชลบุรี เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูสภาพป่ารอยต่อ 5 จังหวัด อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ส่งเสริม สนับสนุนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดกิจกรรมสนับสนุนภาคประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากร ตลอดจนดำเนินความร่วมมือกับองค์กรการกุศลต่างๆ เพื่อสาธารณประโยชน์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองใดๆ อีกข้อที่อยากชี้ให้เห็นก็คือ มูลนิธินี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2549 ก่อนที่บิ๊กหลายคนในรัฐบาลชุดนี้จะก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญทางการเมือง
ย้อนกลับมาพูดเรื่องเงินบริจาคจากบริษัทยักษ์ใหญ่หลายรายที่ไหลเข้าสู่มูลนิธิฯ เมื่อดูจากชื่อแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไทยเบฟ เอซีอี ดับเบิ้ลเอ กัลฟ์ ปตท. หรือเอ็กโก้ (บริษัทลูกของ กฟผ.) จะเห็นถึง “จุดร่วม” คือ ทุกรายต่างเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอาจเรียกได้ว่าเป็นแนวปฏิบัติของบริษัทมหาชนทุกรายทั่วโลก ที่ต้องให้ความสำคัญการการทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรือซีเอสอาร์ (CSR : Corporate Social Responsibility) ขณะที่ในทางกลับกัน บริษัทใหญ่ๆ ไม่ว่าในประเทศไหน ต่างก็เป็น “เป้าหมาย” ของมูลนิธิฯ หรือองค์กรที่มองหาแหล่งเงินบริจาคเพื่อมาใช้สนับสนุนกิจกรรมของตัวเองอยู่เช่นกัน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นการบรรจบกันของเงินบริจาคจากกลุ่มทุน และผู้รับบริจาคที่ชื่อ มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เพราะทั้งชื่อ และกิจกรรมของผู้รับ (บริจาค) รายนี้ ล้วนมุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหาที่เป็นกระแสหลักทั้งโลก คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการมุ่งพัฒนาคุณภาพและความเป็นอยู่ของราษฎรในพื้นที่ 5 จังหวัดป่ารอยต่อ
เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในผู้รับ(บริจาค) ที่ตอบโจทย์แนวคิดพื้นฐานของ CSR ซึ่งก็คือ การทำให้ธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน การที่ธุรกิจทำ CSR ธุรกิจยังต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นในการบริหารกิจการให้มีผลกำไร และยังเป็นที่ยอมรับของสาธารณชน รวมถึงสามารถขยายกิจการให้เจริญเติบโตในสังคมและชุมชนที่ธุรกิจดำเนินอยู่ได้อย่างยั่งยืน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการหลักของหลายบริษัทที่ถูกหยิบยกชื่อขึ้นมาครั้งนี้ เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม มีการลงทุนในหลายพื้นที่ซึ่งอยู่ในเขต 5 จังหวัดป่ารอยต่อ ดังนั้น การทำ CSR ผ่านเงินบริจาคในรูปแบบนี้ จึงถือเป็นการลงทุน(เชิงพัฒนา) ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่สุด คือ บริษัทผู้บริจาคได้ภาพลักษณ์ที่ดี, ผู้รับบริจาค มีเงินไปใช้ในการทำกิจกรรมตามเป้าหมายของมูลนิธิฯ ในการฟื้นฟูสภาพป่า และสำคัญสุด ผู้รับประโยชน์ ซึ่งก็คือ ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ 1.2 ล้านไร่ของเขตป่ารอยต่อ 5 จังหวัด จะได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ อีกทั้งเข้ามาเป็นส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าในพื้นที่ 5 จังหวัดที่เป็น “บ้าน” ของตัวเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี