ที่กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี ได้เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย (Asian Development Outlook: ADO) ประจำปี 2563 ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียกำลังพัฒนาคาดว่าจะลดต่ำลงอย่างแรงในปี 2563 อันเนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัส COVID-19 ก่อนจะกระเตื้องขึ้นในปี 2564 คาดว่าภูมิภาคเอเชียจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 2.2 ในปี 2563 ซึ่งเป็นการปรับลดลง 3.3 จุดจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 5.5 เมื่อเดือนกันยายน 2562
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB เปิดเผยว่า อีไอซีประเมินเศรษฐกิจโลกปี 2563 จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และมีแนวโน้มหดตัวที่ -2.1% โดมีปัจจัยจากการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่รุนแรงกว่าคาดของ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ผลของการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ทั่วโลกที่รุนแรงขึ้น มาตรการควบคุมที่เข้มงวดของหลายประเทศ และตัวเลขเร็วจากเศรษฐกิจหลักที่แสดงถึงการหดตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจที่มากกว่าคาด
ในส่วนของเศรษฐกิจไทย อีไอซี ได้มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 นี้ลงเป็นหดตัวที่ -5.6% โดยมีปัจจัยสำคัญได้แก่ เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย จำนวนนักท่องเที่ยวที่น่าจะลดลงมากกว่าคาด ผลกระทบต่อการบริโภคจากการประกาศปิดเมืองและผลจากมาตรการการเงินและการคลังล่าสุด รวมถึงมาตรการอัดฉีดเพิ่มเติมของภาครัฐผ่าน พ.ร.ก. กู้ฉุกเฉิน ที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินเพิ่มเติมอีกประมาณ 2 แสนล้านบาท
“หากสถานการณ์ COVID-19 จบเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เชื่อว่า จีดีพี ของไทย มีโอกาสหดตัวน้อยลงอยู่ที่ -3.2% แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงและยืดเยื้อมากกว่าคาด ก็อาจทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวและภาคส่งออกของไทยปรับลดลงมากกว่าเดิม ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน จึงมีแนวโน้มทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2563 หดตัวได้มากถึง -7.2%” ดร.ยรรยง กล่าว
ขณะที่ KKP Research (กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคิน ภัทร) ระบุเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก COVID-19 นี้จะทำให้เกิดภาวะการว่างงานเป็นวงกว้าง โดยภาคธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ โรงแรมและร้านอาหาร ภาคการค้าและภาคการขนส่ง มีการจ้างงานรวมถึง 10.1 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ และในจำนวนนี้เป็นการจ้างงานนอกระบบถึง 5.6 ล้านคน หรือ 55% ดังนั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อธุรกิจเหล่านี้จะส่งผลให้แรงงานจำนวนมากต้องถูกเลิกจ้างหรือถูกขอให้หยุดงานชั่วคราว นอกจากนี้ ภาคธุรกิจอื่นๆ เช่น ภาคการผลิต ภาคการก่อสร้าง และบริการอื่นๆ ก็จะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลงด้วยเช่นกัน
“KKP Research คาดว่าอาจมีการว่างงานสูงถึง 5 ล้านคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 13% ในช่วงกลางปีนี้ ก่อนที่สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีแม้ว่าที่ผ่านมาภาครัฐได้มีมาตรการด้านโยบายการคลังและการเงินออกมาเพื่อตอบสนองกับปัญหาที่เกิดขึ้น” KKP Research ระบุ
ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การดำเนินมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลของแต่ละประเทศนั้น ท้ายที่สุดแล้วอาจจะไม่ช่วยให้เศรษฐกิจในหลายประเทศพ้นภาวะถดถอย แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เศรษฐกิจหดตัวน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการใดๆ มารองรับ และที่สำคัญมากไปกว่านั้น มาตรการต่างๆ ที่นำออกมาใช้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ก็เพื่อช่วยให้กลไกทางเศรษฐกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี