การเติบโตของตลาดรถจักรยานยนต์ในบ้านเรา ทำให้มีรถรุ่นใหม่ๆ ออกมาขาย และที่ขาดไม่ได้ก็คือ มอเตอร์ไซค์วิบาก ที่เป็นรถในฝันของหลายๆ คน กับความตื่นเต้นที่มีโอกาสได้ใช้งานบนเส้นทางที่ขรุขระ จึงมี CRF 250L จากค่ายฮอนด้า ที่เริ่มมาทำตลาดในเมืองไทย  ถึงจะมาช้าหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มา เพราะยังมีแฟนๆ รอคอยอยู่ เป็นความคิดถึงในอดีตของ HONDA XL 125 ปิดท้ายด้วย MTX 125 ที่ยังคงขายได้ราคาอยู่ตอนนี้ แม้ว่าถนนหนทางของเมืองไทย เป็นถนนไร้ฝุ่นไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศสวยๆ สองข้างทางทั่วทุกภูมิภาคที่มอเตอร์ไซค์วิบากยังสามารถไปได้

อีกกลุ่มหนึ่งที่ยังต้องการมอเตอร์ไซค์ ยังคงต้องการมอเตอร์ไซค์วิบากมาใช้งานในเมือง เนื่องจากทัศนวิสัยที่ดี คุมรถง่าย อาจจะไม่เหมาะกับยางดอกใหญ่ ทางฮอนด้า จึงนำ CRF 250 M ในสไตล์ โมตาร์ด เข้ามาทำตลาดด้วย ราคา 140,600 บาท  โดยมีให้เลือกสองสี คือ สีดำ- ทอง และ ดำ-แดง  และถึงแม้ว่าจะเป็นคู่แฝดของ  CRF 250L แต่ก็มีการปรับช่วงล่างมาเป็นพิเศษ สำหรับคนเมืองที่ต้องการกลิ่นอายมอเตอร์ไซค์วิบาก ที่ต้องการความหนึบเป็นพิเศษเวลาที่ต้องการเข้าโค้งเร็วๆ ด้วย

สำหรับความแตกต่างจาก CRF 250L ที่เห็นได้ชัด คือ วงล้อที่ถูกลดขนาดลงมา เป็นล้อทางเรียบขนาด 17 นิ้ว  ด้านหน้าใส่ยาง 110/70 -17 ส่วนด้านหลัง จะใช้ล้อที่มีหน้ากว้าง ร้อยด้วยซี่ลวด 2 แถว พร้อมยางขนาด 130/70-17  เพื่อให้เห็นถึงความแกร่งทนทาน ทางฮอนด้าจึงพ่นสีดำลงบนเฟรม และโช้คอัพหน้า จึงได้ความขรึมมีสไตล์สำหรับรถใช้งานในเมือง รวมถึงการ์ดกันโช้คอัพหน้า ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นสีดำด้วยเช่นกัน

โดยเมื่อเร็วๆนี้ ค่ายฮอนด้า ได้จัดทริปลุยกัมพูชา ด้วย CRF 250L พร้อมกับสอดแทรก CRF 250M เข้าไปอยู่ในกลุ่มให้ได้ลองสมรรถนะ ก่อนการเปิดตัวจริงที่งานมอเตอร์โชว์ เพื่อให้รู้ว่าถึงจะเป็นทางฝุ่น CRF 250M ก็สามารถฝ่าฟันไปได้เช่นกัน

บนเส้นทางเรียบๆ CRF 250M ให้ท่านั่งที่ไม่เมื่อยจากการนั่งแบบตัวตรง บวกกับแฮนด์ที่กว้าง ด้วยขนาดตัวรถที่ยาว 2,127 มม. กว้าง 815 มม. และสูง 1,147 มม. การทรงตัวทางตรงทำได้ดี บวกกับฐานล้อที่ยาวถึง 1,146 มม. การวางเท้าทำได้เต็มที่กว่าในรุ่นวิบาก จากเบาะนั่งที่สูงจากพื้น 855 มม. ทำให้คนไทยที่สูงระดับ 170 ไม่ต้องเขย่งเท้าเวลาจอดรถนิ่งๆ การใช้งานในเมืองรถติดๆ จึงไม่ต้องกังวลเมื่อต้องจอดรถนิ่งๆ ส่วนการผ่านอุปสรรคนั้นไม่มีปัญหา ด้วยใต้ท้องที่สูงถึง 226 มม. สิ่งกีดขวางต่างๆ ก็ไม่น่ากลัวนัก อีกทั้งการ์ดพร้อมเฟรม ที่วางป้องกันอยู่จะช่วยลดความเสียหายให้กับเครื่องยนต์ เมื่อต้องกระแทกกับสิ่งกีดขวางได้เป็นอย่างดี

การควบคุมทำได้ง่ายจากโช้คอัพ ที่วางเอียง 25 องศา 45 ลิปดา ระยะเทรล 71 มม. การหักเลี้ยวทำได้แบบสุดๆ โดยไม่ต้องเลี้ยงความเร็วช่วย การซับแรงสะเทือนก็เป็นหน้าที่ของโช้คอัพแบบหัวกลับที่ซับแรงกระแทกได้ดี ขนาด 43 มม. ระบบกันสะเทือนหลัง จะเป็นโปรลิงค์ที่มีกระเดื่องทดแรงขนาดเล็ก พร้อมโช้คอัพเดี่ยว ขณะที่น้ำหนักรถมีแค่ 145 กก. การควบคุมรถบนทางฝุ่นจึงไม่ใช่เรื่องยาก ถึงจะเป็นยางทางเรียบ แต่เมื่อเข่าหนีบถัง กางข้อศอกออกตามองไปข้างหน้า ก็สามารถมองเห็นอุปสรรคได้ไกล การยุบตัวของโช้คอัพได้มาก ก็ช่วยลดแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี หลุมฝุ่นที่คอยดักอยู่เป็นระยะๆ บนถนนที่กำลังก่อสร้างก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคมาก  บางครั้งก็ต้องใช้โยกแฮนด์ช่วย ถ้าหลุมฝุ่นหนาและมีมากจนเกินไป

ทุกสภาพของถนน ก็มีโอกาสใช้เบรกได้ตลอด แต่ก็หายห่วงกับดิสก์เบรกหน้า แบบลูกสูบคู่ จานเบรกเจาะรู และใช้ขอบเป็นรูปคลื่น ช่วยระบายความร้อนออกจากจานเบรกได้รวดเร็ว ด้านหลังจะเป็น  ดิกส์เบรกลูกสูบเดี่ยว อยู่ตรงปลายของสวิงอาร์มสีดำ ที่คอยประคองล้อหลังไม่ให้ปัดเมื่อเบรกกะทันหัน

ไม่มีปัญหาเรื่องการทำความเร็ว ด้วยเครื่องยนต์ ขนาด 249.6 ซีซี ที่มีลูกสูบ 76 มม. ระยะชัก 55 มม. เป็นเครื่องยนต์สูบเดียว ทวินแคม 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ถึงจะเจอสภาพอากาศร้อนจัดก็ไม่มีปัญหาเรื่องกำลังของเครื่องยนต์ตก การจ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด ก็ทำให้ได้ความประหยัด ใช้เกียร์ 6 สปีด พร้อมคลัชต์เปียกหลายแผ่นซ้อนกัน

ถังน้ำมันจุ 7.7 ลิตร ก็สามารถดินทางไกลเพียงพอ กับระยะพักของแต่ละช่วง การทรงตัวของรถ CRF 250M ในช่วงความเร็วเกินร้อยจะทำได้ดี แม้ว่าจะมีบังโคลนหน้าที่ยื่นออก และนั่งตัวตรงรับลมแต่ก็ไม่มีอาการส่ายของล้อหน้าให้เห็น จึงเหมาะกับการใช้งานบนทางเรียบสำหรับคนที่ชอบสไตล์รถออฟโรด ของ CRF 250M คันนี้

นิติ โมราวรรณ