ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตามตรวจสอบการใช้เงินตาม “พรก.เงินกู้ 1.9 ล้านล้าน” ได้ออกมาเปิดเผยถึงปัญหาการเข้าไม่ถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ของกลุ่ม SME ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายของรัฐบาลว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กมธ. ชุดดังกล่าวนี้ ได้เชิญผู้แทนธนาคารพาณิชย์ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ธนาคารออมสินธนาคารกรุงไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้เข้ามาชี้แจงในเรื่องนี้ ซึ่งสามารถสรุปปัญหาได้เป็น 4 ประเด็น คือ
“1. ธนาคารพาณิชย์ถึงแม้จะได้เงินกู้ดอกเบี้ยเพียง 0.5% จากธนาคารแห่งประเทศไทย และสามารถปล่อยเงินกู้ได้ด้วยดอกเบี้ยไม่เกิน 2% แต่พบว่า ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการ SME น้อยมาก ส่วนที่ปล่อยกู้ไปก็จะเป็นลูกค้าเดิมของธนาคารเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะธนาคารเกรงว่า ถ้าปล่อยให้ SME ที่มีความเสี่ยงสูงทำการกู้ แล้ว SME จะไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ สุดท้ายธนาคารจะต้องเผชิญกับปัญหาสินเชื่อที่ชำระคืนไม่ได้ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เกิดปัญหา NPL (Non-Performing Loan) ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาของธนาคารโดยตรง
2. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่ทำหน้าที่ช่วยค้ำประกันเงินกู้ให้ผู้ประกอบการ SME กับธนาคาร เพื่อสร้างความมั่นใจให้ธนาคาร ในกรณีที่ผู้ประกอบการ SME อาจมีปัญหาในการชำระเงินกู้ ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์สบายใจที่จะปล่อยกู้มากขึ้น แต่ในความเป็นจริงพบว่า วงเงินที่ทาง บสย. ได้จากมติคณะรัฐมนตรี เพื่อการค้ำประกันใกล้หมดแล้ว ไม่เพียงพอต่อความต้องการของ SME และที่สำคัญ เราพบอีกว่า บสย. ยังทำงานในเชิงตั้งรับมากไป คือ การรอรับผู้กู้ SME ที่ธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธ เพราะขาดหลักทรัพย์ในการค้ำประกันเท่านั้น แทนที่ บสย. จะออกไปหาผู้ประกอบการ SME ที่มีปัญหาการเงิน เพื่อทำการแนะนำและสนับสนุนช่องทางให้ SME เข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างรวดเร็ว
3. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ที่เป็นธนาคารของรัฐ ยังคงทำงานในเชิงตั้งรับเช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเหตุผลทางกฎระเบียบของรัฐ และประวัติศาสตร์ของทางธนาคารที่พนักงานของธนาคารเคยต้องถูกดำเนินคดีจากการให้สินเชื่อตามนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น ธนาคารของรัฐจึงไม่ต่างจากธนาคารพาณิชย์ที่ยึดถือความปลอดภัยของตนมาก่อน ส่วนการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME เป็นเรื่องรองลงมา
4. กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ได้คาดว่าผลการปฏิบัติมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ประกาศตาม พรก.เงินกู้ นั้น จะออกผลเช่นที่ปรากฏให้เห็นนี้ ว่ากันง่ายๆ คือ มาตรการที่ตั้งใจทำไม่ได้ในทางปฏิบัติจริง”
อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีท่านนี้ ยังเปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก ประธาน กมธ. ชุดดังกล่าวให้หาทางคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่อยู่ในที่ประชุม กมธ. ก็ได้ข้อสรุปเพื่อนำไปปฏิบัติ ดังนี้
1. ให้กระทรวงการคลังพยายามเร่งขอมติจากคณะรัฐมนตรี ในการเพิ่มวงเงินค้ำประกันเงินกู้ให้ บสย. เพื่อที่ทาง บสย. จะสามารถมีเครื่องมือในการออกไปช่วยผู้กู้ SME ได้อีกอย่างน้อย 1 ล้านราย
2. ให้ บสย. เปลี่ยนวิธีการเข้าหาผู้ประกอบการ SME เป็นการเดินหน้าในเชิงรุก ด้วยการเข้าไปหา SME ที่มีปัญหา และนำพาพวกเขาให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ และสามารถนำเงินกู้ออกไปดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างรวดเร็ว
3. ให้ธนาคารออมสินที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ และมีฐานลูกค้า SME อยู่ในข้อมูล ร่วมมือกับทาง บสย. ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการ SME โดยเฉพาะ Micro SME โดยเร็ว และทั่วถึงมากที่สุด และควบคู่ไปกับการให้สินเชื่อนั้น ก็ขอให้ทางธนาคารออมสิน และ บสย. ช่วยให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจกับ SME เพื่อปรับธุรกิจให้มีประสิทธิภาพในการแข่งขันยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนการผลิตสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของตลาดในช่วงสถานการณ์โควิด 19 อย่างเหมาะสม
4. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยไปหามาตรการหรือการปรับกฎเกณฑ์การให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่จะช่วยลดความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ลง และทำให้การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ SME และ Micro SME เกิดขึ้นจริง และทันต่อสถานการณ์ธุรกิจที่กำลังเลวร้ายมากขึ้นไปทุกขณะ
“ในการประชุม กมธ.วิสามัญชุดนี้ ครั้งต่อไป (ต้นเดือนสิงหาคม) ความเคลื่อนไหวทั้ง 4 ประเด็นดังกล่าวนี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบรับปากว่า จะกลับมารายงานผมอีกครั้ง ว่าในทางปฏิบัตินั้น มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ซึ่งผมก็พยายามย้ำกับพวกเขาว่า การรักษางาน และการจ้างงานเอาไว้ให้ได้ คือทางออกจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ดังนั้น การอยู่รอดของ SME และ Micro SME คือ พันธกิจสำคัญของรัฐบาล และเป้าหมายดังกล่าวจะสำเร็จไม่ได้เลย หากหน่วยงานของรัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องขาดการบูรณาการร่วมกันในเป้าหมายอย่างชัดเจน นี่เองคือสิ่งที่ระดับบริหารในรัฐบาลต้องตกผลึกให้ได้ เพื่อสร้างการยอมรับและความเข้าใจในผลลัพธ์ที่ใช่ร่วมกันอย่างแท้จริง” ศ.ดร.กนก กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี