นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB) เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกโดยประเมินว่ายังคงผันผวนซึ่งเป็นผลมาจาก สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงสหรัฐได้มีการเตรียมชิงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์กับ โจ ไบเดน ซึ่งจากการวิเคราะห์ พบว่า หากทรัมป์ ได้รับคัดเลือก น่าจะเป็นผลบวกต่อประเทศไทย เนื่องจาก 1.สงครามการค้าใกล้จบ 2.นโยบายของทรัมป์จะส่งผลให้บริษัทจีนย้ายฐานซึ่งทำให้ไทยได้รับอานิสงส์ และ 3.ไทยยังเป็น
ห่วงโซ่อุปทานกับจีนจึงยังต้องสานต่อ RCEP ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
ขณะที่ หากไบเดน ได้รับตำแหน่ง ไทยจะได้รับประโยชน์หากเข้าร่วม CPTPP เนื่องจาก 1.ไบเดนจะอาศัยความร่วมมือจากพันธมิตรในการโอบล้อมจีน 2.การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐและจีนไม่ได้ลดทอนความเข้มข้นลง 3.ไทยอาจไม่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตหากไม่ร่วมCPTPP ขณะที่ไทยยังต้องเดินหน้าสัมพันธ์การค้ากับจีนผ่าน RCEP
“ไม่ว่าสหรัฐจะได้ใครเป็นผู้นำคนต่อไป มหาอำนาจทางการค้าของสหรัฐจะตกลงเป็นเบอร์ 2 ในแง่มูลค่าทางการค้ารองจากจีน”นายอมรเทพ กล่าว
พร้อมคาดว่าภายใน 10 ปี หรือในปี 2573ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลก เนื่องจากเศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของโลก ขณะที่มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของจีนจะเป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกและนำเข้ามากที่สุดอยูที่ประมาณ 7.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ในอีก 5 ปีข้างหน้า
“แม้ว่าความขัดแย้งของจีนและสหรัฐฯจะยังมีอยู่ภายใต้ผู้นำสหรัฐฯคนต่อไป ไทยไม่สามารถหนีกระแสโลกาภิวัตน์ เชื่อว่าไทยและอาเซียนยังสามารถอยู่รอดได้ภายใต้ความขัดแย้งตรงนี้
แต่หากบริหารไม่ดี กระแสโลกาภิวัตน์ตีกลับจะมีผลให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพได้ซึ่งไทยต้องเน้นเรื่องการเป็นหุ้นส่วนกับจีนขณะเดียวกันต้องเน้นอุปสงค์ในประเทศจีนและเปิดรับทั้งสองประเทศผ่านกลุ่มอาหาร เกษตร การแพทย์สุขภาพ เป็นซัพพลายเชน และเดินหน้าเน้นเรื่องการท่องเที่ยวต่อไป”นายอมรเทพ กล่าว
ทั้งนี้มองว่าประเทศไทยต้องเปิดรับทั้งคู่ และอยู่ร่วมกับสหรัฐและจีน ไม่ควรเลือกข้างเนื่องจากไทยต้องค้าขายกับจีน แม้จีนยังเป็นมหาอำนาจเบอร์ 2แต่เรื่องการค้าจีนเป็นเบอร์ 1 ของโลก ไทยจึงต้องเพิ่มการเป็นห่วงโซ่อุปทานการผลิตกับจีนให้มากขึ้นเปิดรับการย้ายฐานจากจีนให้เข้ามาบ้านเราให้มากขึ้นเพื่อหาทางส่งออกไปสหรัฐฯ และส่งออกไปประเทศอื่น ยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ด้วยการเปิดรับทั้งสองด้าน พร้อมเดินหน้า RCEP และร่วม CPTPPพร้อมแนะประเทศไทยยึดยุทธศาสตร์ “เอียงจีน อ่อนตามสหรัฐฯ” คือเปิดรับทั้งคู่ ไม่เลือกข้าง
นายอมรเทพกล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2563 นี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ -7.5% ดีขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ -8.9% ส่วนภาคส่งออกเริ่มลดการหดตัว เริ่มมีการฟื้นตัวบ้างเล็กน้อย ซึ่งไตรมาส 3 ดีกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่ฟื้นตัวในไตรมาส 4 เนื่องจากการล็อกดาวน์ในหลายๆ ประเทศ พร้อมคาดว่าไตรมาสแรกของปี 2564 เศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวได้ โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2.8%
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี