“รถไฟฟ้าสายสีส้ม” เป็นอีกหนึ่งโครงการเชื่อมกรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรีกับฝั่งพระนครเข้าด้วยกันและเป็นการเชื่อมในระดับย่านชานเมืองฝั่งหนึ่งถึงย่านชานเมืองอีกฝั่งหนึ่ง กล่าวคือ เริ่มจากย่านบางขุนนนท์ ฝั่งธนบุรี ผ่าน รพ.ศิริราช ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ข้ามเข้าสู่ฝั่งพระนครโดยผ่านเขตเมืองเก่าเกาะรัตนโกสินทร์ จากนั้นไปทางตะวันออกผ่านย่านประตูน้ำ เข้าย่านมหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก-บางกะปิ) จนไปสุดสายที่ ถ.สุวินทวงศ์ย่านมีนบุรี รวมระยะทาง 35.9 กิโลเมตร แบ่งเป็นเส้นทางอุโมงค์ลอดใต้ดิน 27 กิโลเมตร และยกระดับลอยฟ้าอีก 8.9 กิโลเมตร
ย้อนไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2563 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ออกประกาศให้บริษัทเอกชนที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายนี้ สามารถซื้อเอกสารเพื่อร่วมประมูลตั้งแต่วันที่ 10-24 ก.ค. 2563 โดยแบ่งระยะการลงทุนดังนี้ “ระยะที่ 1 : การออกแบบและก่อสร้างงานโยธา และการจัดหาระบบรถไฟฟ้า” แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ “ส่วนที่ 1”การออกแบบ จัดหา ผลิต ติดตั้ง ทดสอบระบบรถไฟฟ้า และทดลองเดินรถไฟฟ้าของโครงการ ส่วนตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย -สุวินทวงศ์) เป็นระยะเวลา 3 ปี 6 เดือน
“ส่วนที่ 2” การออกแบบและก่อสร้างงานโยธา และการออกแบบ จัดหา ผลิต ติดตั้งทดสอบระบบรถไฟฟ้าและทดลองเดินรถไฟฟ้าของโครงการส่วนตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) เป็นระยะเวลา 6 ปี กับ “ระยะที่ 2 : การให้บริการการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงรักษา” เป็นระยะเวลา 30 ปี นับจากวันที่เริ่มให้บริการเดินรถไฟฟ้าโครงการส่วนตะวันออก
แต่แล้วในเวลาต่อมา โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มนี่ก็ “ส่อวุ่น” โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2563ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ไปแจ้งความกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีได้รับเรื่องร้องเรียนว่า “คณะกรรมการคัดเลือกตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน 2562 (มาตรา 36) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) วงเงิน 128,128 ล้านบาท ได้มีมติเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2563เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเอกสารประกวดราคาใหม่ (TOR)” ทั้งที่มีการซื้อขายซองประกวดราคาเสร็จสิ้นไปแล้ว 10 บริษัท
เหตุผลของการเข้าแจ้งความดังกล่าวศรีสุวรรณ ระบุว่า พบข้อพิรุธ เช่น 1.มีบริษัทเอกชนรายหนึ่งซึ่งยื่นซองประมูลได้ขอเปลี่ยนแปลงTOR และคณะกรรมการฯ ก็รับข้อเสนอ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ทั้งที่เงื่อนไข TOR ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเองได้ต้องเป็นไปตามระเบียบทางราชการ พร้อมรับฟังความเห็นต่างๆของผู้มีส่วนได้เสีย และต้องยื่นให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ โดยถือประโยชน์ของรัฐมากที่สุด
2.การพิจารณาจะแยกซองเทคนิคหากผ่านตามเกณฑ์ จึงจะเปิดซองการเงินตามลำดับ แต่การประกวดครั้งนี้กลับนำซองเทคนิคมาคิดคะแนนรวมกับซองการเงิน โดยกำหนดสัดส่วนการให้คะแนน 30/70 หากรายใดได้คะแนนรวมสูงสุดก็จะได้รับการคัดเลือก และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการฯ ซึ่งอาจมีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จึงต้องขอให้ DSI ช่วยตรวจสอบ
“ข้ออ้างของทางคณะกรรมการ รฟม.ออกมาบอกว่า เนื่องจากโครงการนี้ส่วนหนึ่งต้องก่อสร้างใต้ดินลอดแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ที่ผ่านมา รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินก็สร้างลอดแม่น้ำเจ้าพระยาและยังใช้งานได้ตามปกติ โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขTORใดๆ หรือไม่มีเงื่อนไขในการเปิดซองที่จะต้องรวมซองเทคนิคกับซองราคาไว้ด้วยกันเหมือนกรณีครั้งนี้ ซึ่งครั้งนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย จึงน่าจะเข้าข่ายความผิดกฎหมายหลายฉบับและหลายมาตรา” ศรีสุวรรณ กล่าว
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2563สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่“BTSC” บริษัทขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งไปยื่นหนังสือต่อ องค์การต่อต้านการคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้เปิดเผยว่า BTSC ได้ยื่นฟ้องต่อ ศาลปกครอง ไปเมื่อวันที่17 ก.ย. 2563 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ รฟม. และ คกก.คัดเลือกฯ กลับไปใช้หลักเกณฑ์ TOR เดิม ไม่ใช่หลักเกณฑ์ใหม่ที่มาแก้ไขหลังปิดขายซองประกวดราคาไปแล้ว
สุรพงษ์ ตั้งข้อสังเกตว่า “แนวปฏิบัติของการยื่นซองประกวดราคาโครงการอื่นๆ ที่ผ่านมา จะเป็นการพิจารณาทีละขั้น (หรือทีละซอง) ไล่ตั้งแต่คุณสมบัติ เทคนิคและราคาตามลำดับ โดยกำหนดให้เอกชนที่ผ่านการประเมินคุณสมบัติแล้วจึงจะเข้ารับการประเมินด้านเทคนิค และเอกชนที่ผ่านการประเมินด้านเทคนิคแล้วจึงเข้าสู่การประเมินด้านราคา” ซึ่งเมื่อมาถึงขั้นนี้ เอกชนที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุดก็จะได้รับการคัดเลือก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ หลักเกณฑ์ใหม่นำการประเมินด้านเทคนิคและด้านราคามารวมกัน บวกกับมีการใช้ดุลพินิจมาก อาจเกิดความไม่เป็นธรรมได้
“ในคุณสมบัติมีการกำหนดว่า ต้องมีประสบการณ์ในการทำอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 5 เมตร และมีมูลค่าโครงการไม่น้อยกว่า 5 พันล้านบาท ยอมรับว่าเรามีประสบการณ์ด้านนี้เพียงแต่ไม่มีประสบการณ์ที่ทำงานอุโมงค์ลอดแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเวลานี้ในไทยมีเพียง 2 บริษัทเท่านั้นที่มีประสบการณ์ด้านนี้และใน TOR ก็มีหมายเหตุไว้ว่า หากเป็นผู้รับเหมาไทยและมีประสบการณ์ด้านนี้จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
การยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เราไม่ได้ต้องการให้ล้มประมูล เพราะจะทำให้เสียเวลา ขณะนี้การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ฝั่งตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี (สุวินทวงศ์)ก็มีความคืบหน้าไปมากแล้ว หากให้ล้มประมูลประเทศชาติก็จะได้รับความเสียหาย ดังนั้นจึงอยากให้ รฟม. กลับมาใช้เกณฑ์เดิมแบบถูกต้อง” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BTSC กล่าว
ต่อมาวันที่ 14 ต.ค. 2563 มีรายงานว่า ศาลปกครองกลาง นัดไต่สวนในคดีที่ BTSC ยื่นฟ้อง คกก.คัดเลือกตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน 2562 (มาตรา 36) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และพวกรวม 2 คน โดยขอให้เพิกถอนมติ คกก.คัดเลือกฯ กรณีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข TOR ที่ให้นำข้อเสนอทางด้านเทคนิคมาให้คะแนนควบคู่กับข้อเสนอด้านราคา หลังจากที่มีการปิดการขายซองประมูลไปแล้ว
เนื่องจากเห็นว่าก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกับเอกชนบางราย พร้อมกับขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา โดยสั่งระงับการเปิดรับข้อเสนอของเอกชนในวันที่9 พ.ย. 2563 ไว้ก่อน จากนั้นในวันที่ 21 ต.ค. 2563 ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ รฟม. กลับไปใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาเดิมคือ เปิดซองคุณสมบัติ ซองเทคนิค ซองข้อเสนอการเงิน และซองข้อเสนออื่นๆ เพิ่มเติมจนกว่าจะมีคำตัดสินจากศาลออกมา
ในเวลานั้น สุรพงษ์ ให้ความเห็นว่า การที่ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ รฟม.ใช้เกณฑ์เดิมในการประเมินการประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มในระหว่างที่ศาลยังไม่มีคำตัดสินเนื่องจากต้องใช้เวลาพิจารณา ก็ขึ้นอยู่กับ รฟม.ว่าจะดำเนินการประมูลอย่างไรต่อไป แต่ทั้งนี้ “รฟม.ต้องใช้เกณฑ์ที่มีการแยกการประเมินข้อเสนอด้านการเงินและด้านเทคนิคออกจากกัน เพื่อให้คะแนน และพิจารณาผู้ชนะตามราคาที่เสนอตามที่ประกาศไว้เดิม” ไม่ใช่ใช้ประกาศใหม่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2563 คฑาภณสนธิจิตร นายกสมาคมผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชน (ประเทศไทย) และรองประธานเครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติ (ส.ท.ช.) ได้ไปร้องเรียนกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ตรวจสอบผู้ว่าการ รฟม. รวมถึง คกก.คัดเลือกฯ ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยให้เหตุผลว่า จากการติดตามตรวจสอบเส้นทางการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทาง 35.9 กม. วงเงินลงทุน 142,789 ล้านบาทของ รฟม.
ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ออกประกาศเชิญชวนเอกชนให้เข้าร่วมลงทุนตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 2563และมีกำหนดยื่นซองข้อเสนอในวันที่ 23 ก.ย. 2563พบว่า หลังปิดขายซองประมูลไปร่วม 2 เดือน รฟม. และคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกลับมีการพิจารณาเห็นชอบ ให้ปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การประเมินข้อเสนอการร่วมลงทุนโครงการใหม่ โดยปรับเปลี่ยนจากรูปแบบเดิม ที่จะพิจารณาซองข้อเสนอด้านการเงิน และผลตอบแทนการลงทุนจากบริษัทเอกชนที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคแล้วเท่านั้น
โดยปรับเปลี่ยนเป็นการพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคควบคู่กับด้านราคา (สัดส่วน 30:70) โดยอ้างว่า มีบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูลร้อง และ คกก.คัดเลือกฯ (คณะกรรมการตามมาตรา 36แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุน ระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562) เสียงส่วนใหญ่ให้ความเห็นชอบแล้ว พร้อมมีมติให้ขยายระยะเวลาในการยื่นข้อเสนอออกไป 45 วัน เป็นวันที่ 9 พ.ย. 2563
นายกสมาคมผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชน (ประเทศไทย) กล่าวต่อไปว่า แม้จะมีเสียงทักท้วงจาก องค์การต่อต้านการคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และทาง BTSC ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง จนศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ รฟม. และ คกก.คัดเลือกฯ กลับไปใช้หลักเกณฑ์เดิม แต่ รฟม.ยังเดินหน้าอุทธรณ์ต่อโดยหวังว่าจะสามารถใช้หลักเกณฑ์ใหม่ได้ จึงต้องขอให้ ป.ป.ช. ช่วยตรวจสอบด้วยว่า มีความพยายามเอื้อประโยชน์แก่เอกชนบางรายหรือไม่
ถึงกระนั้น มีรายงานข่าวในวันที่ 5 พ.ย. 2563 ว่า “รฟม. ยังคงให้เอกชนยื่นข้อเสนอประกวดราคา ในวันที่ 9 พ.ย. 2563 เวลา 09.00-15.00 น. ตามเดิม” เพราะศาลปกครองมีเพียงคำสั่งทุเลาการใช้หลักเกณฑ์ใหม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอประกวดราคาแต่อย่างใด และยืนยันว่า “จะไม่มีผลกระทบกับเอกชนที่ยื่นซองประมูล ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะใช้เกณฑ์เดิมหรือเกณฑ์ใหม่ในการพิจารณาตัดสินผู้ชนะประมูลก็ตาม” เพราะการยื่นข้อเสนอนั้นเป็นข้อมูลคุณสมบัติพื้นฐานเหมือนเดิมทุกอย่าง
แม้ ณ วันนี้ ยังต้องรอการชี้ขาดจากศาลปกครองว่า รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน 2562 (มาตรา 36) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีอำนาจแก้ไข TOR ได้เอง หลังจากปิดการขายซองประมูลซึ่งมีหลายบริษัทซื้อซองไปแล้วหรือไม่ แต่ประเด็นที่ว่า “จำเป็นเพียงใดถึงขั้นต้องแก้ TOR ในชั้นนี้” ก็เป็นสิ่งที่สังคมกำลังตั้งคำถาม
หากทั้ง รฟม. และ คกก.คัดเลือกฯ ไม่สามารถอธิบายให้คลายความกระจ่าง เสียงครหาเรื่อง “เอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางราย” ก็ยังคงดังเซ็งแซ่ต่อไป!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี