เมื่อเวลา 18.30 น วันที่ 22 ธันวาคม 2563 ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด ได้จัดงานดินเนอร์ ทอล์ค "แนวหน้า forum#3"ภายใต้หัวข้อ"ก้าวข้ามวิกฤติ COVID -19 กับแม่ทัพใหญ่กระทรวงเศรษฐกิจ"
โดบนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายในงานปาฐกถาพิเศษ”พาเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19” ว่า ในปี 2564 ภาครัฐมีแผนในการปฏิบัติการเชิงรุก ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือจากพลัง 3 ผสานคือ การคลัง การเงินและตลาดทุน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก แต่เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ รัฐบาลจึงได้ดำเนินการช่วยเหลือเป็น 3 ระยะ
ได้แก่ 1.การเยียวยา ซึ่งเมื่อเกิดผลกระทบภาครัฐได้มีผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดย 2 โมเดล ได้แก่ โมเดลแรกการปิดประเทศ เพื่อสร้างความปลอดภัยของคนภายในประเทศ ซึ่งมีต้นทุนทางเศรษฐกิจ กับอีกหนึ่งโมเดล คือ การสร้างสมดุล การจำกัดการแพร่ระบาด กับการประคองเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการบาลานซ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร 2.บรรเทา ซึ่งรัฐบาลได้ไปกู้เงินมาเนื่องจากงบปกติไม่เพียงพอ และ 3.ฟื้นฟู โดยต้องมองเรื่องดีมานด์ ซึ่ง จีดีพี ครึ่งหนึ่งอยู่ที่การบริโภค 52% มาจากการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ
และทางด้านผลผลิต ซึ่งภาครัฐอยากให้ภาคบริการเติบโต ซึ่งกว่า 50% คือการบริการและภาคการเกษตร ที่เหลือที่เป็นเรื่องการลงทุน เพราะฉันนั้นในช่วงเยียวยา มาตรการของรัฐได้มีการออกแบบมาตรการต่างๆ เช่น ชิมช้อปใช้ กระตุ้นให้มีการใช้จ่ายกรตุ้นเศรษฐกิจ โครงการถัดมา คือ คนละครึ่ง กระตุ้นประชาชนให้เกิดการใช้จ่าย โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน ได้มีการต่ออายุไปจนถึงเดือน เม.ย. เพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว และบัตรสวัสดิการเพื่อผู้มีรายได้น้อย ซึ่งโครงการเหล่านี้เป็นโครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบ
“ประเทศไทยถือว่าเรามีการฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว โดยเหตุการณ์ที่ผ่านมาๆ มีการฟื้นตัวได้ดี โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจมีอัตราการติดลบอยู่ที่ -6.4% คาดว่าทั้งปี -6% ดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ส่วนช่วงที่พบการติดเชื้อใหม่ เราต้องเฝ้าระวัง ภาครัฐได้ออกมาตรการที่เข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัด สมุทรสาคร ต้องมีการเฝ้าระวัง อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปีนี้แนวโน้มค่าเงินบาทเราแข็ง มีหลายสาเหตุ เช่น จากเงินดุลเกินสะพัด ทำห้เงินไหลเข้ามา ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น”นายอาคม กล่าว
และว่า ส่วนของภาคการท่องเที่ยว โดยที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาติ ประเทศไทยมีรายได้มาจากนักท่องเที่ยวเข้ามา 12% เมื่อเทียบกับจีดีพี ซึ่งการแพร่ระบาดได้กระทบกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และอีก 6% ของจีดีพี คือการที่คนไทยเที่ยวกันเอง ปัจจุบัน 3% ส่วนที่เหลืออีก 3% ต้องเป็นการกระตุ้นและทำให้โรงแรมเปิดให้ได้มากที่สุด สำหรับในปีหน้ากระทรรวงการคลังตั้งเป้าเป็นปีแห่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ด้วยมาตรการกระตุ้นต่างๆของภาครัฐ รวมถึงการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้คาดหวังว่าจะมีรายได้จากภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 3% ของจีดีพี
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : 'สุพัฒนพงษ์'ลั่นมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ผล ขอให้เชื่อมั่นไทยกลับมาได้แน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี