‘กมธ.คมนาคม’งัด 5 ข้อค้านสุดลิ่ม เตรียมเรียกกทม.แจงขึ้นค่ารถไฟฟ้าสายสีเขียว 21 ม.ค. ชี้เป็นการข่มขู่-ซ้ำเติมวิกฤติให้ประชาชน ไม่สนข้อท้วงติง เชื่อทำราคาได้ต่ำกว่า 65 บาท จ่อร้องรัฐบาลคัดค้านถึงที่สุด
17 มกราคม 2564 นายโสภณ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ(กมธ.) การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่กรุงเทพมหานคร ออกประกาศเพื่อปรับอัตราค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดสายอยู่ที่ 104 บาท ว่า เป็นการซ้ำเติมประชาชน ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ทาง กมธ. ได้แสดงจุดยืน ไม่เห็นด้วยกับการคิดอัตราค่าโดยสาร สายสีเขียว ตลอดสาย 65 บาท ขอให้ กทม. ชี้แจงที่มาของการคำนวณราคา ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 จนบัดนี้ยังไม่ได้รับข้อมูล แต่กลับข่มขู่ประชาชนว่าจะขึ้นราคาเป็น104บาท ในเดือนหน้า
นายโสภณ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา กมธ.การคมนาคม ได้มีข้อเสนอแนะในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า การคิดอัตราค่าโดยสาร นั้นต้องเปิดเผยที่มา การคิดราคาอย่างโปร่งใส เชื่อว่าสามารถคิดราคาได้ถูกกว่า 65 บาทตลอดสาย และควรกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ถูกที่สุดสำหรับประชาชนที่ใช้บริการ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมาใช้บริการ ดังนี้
1.การต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยคิดราคาค่าโดยสารสูงสุด 65 บาท กทม.ควรเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ว่ามีฐานการคิดคำนวณมาอย่างไร เนื่องจาก การสอบถามข้อมูลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว กระทรวงคมนาคม เห็นว่า ยังสามารถลดค่าโดยสารลงได้ต่ำกว่า 65 บาท กมธ.การคมนาคม จึงเห็นว่า ค่าโดยสารที่สามารถลดลงได้อีก เนื่องจากปริมาณการเดินทางในอนาคต จะมีมากขึ้น ต้นทุนต่อการเดินรถควรจะถูกลงอีกจะเป็นประโยชน์ ต่อประชาชน ทั่วไป โดยเฉพาะ ประชาชนผู้มีรายได้น้อย จะสามารถเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้มากขึ้น
2.ประชาชน ควรจะได้รับประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ ในการต่อสัญญาสัมปทานครั้งนี้ เช่น การลดค่าแรกเข้าระบบ ที่ไม่ควรจะมีการคิดซ้ำซ้อน และไม่มีเงื่อนไขซึ่งจะเป็นภาระต่อผู้โดยสาร
3.หากยังไม่มีการต่อสัญญาสัมปทาน ซึ่งกำลังจะหมดลงในปี 2572 หรือในอีก 9 ปี ข้างหน้า และสินทรัพย์ทั้งหมด จะตกกลับมาเป็นของรัฐ คือ กทม. จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน มากกว่า เนื่องจาก รถไฟฟ้าสายสีเขียว มีกำไร หลังจากหักค่าจ้างเดินรถแล้ว จะมีกำไร ไม่น้อยกว่าปีละ 5,000 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต กำไรดังกล่าว สามารถนำมาบริหารจัดการ ช่วยลดอุดหนุน เส้นทางรถไฟฟ้า อื่น ๆ ที่อยู่นอกเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนผู้มีรายได้น้อยกว่า ได้ใช้รถไฟฟ้าในอัตราที่ถูกกว่า คนในใจกลางเมือง การที่อ้างว่า กทม.ไม่มีความสามารถทางการเงินในการชำระหนี้ และบริหารจัดการ ไม่เป็นความจริง เนื่องจาก โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งเส้นทาง มีศักยภาพทางธุรกิจที่ชัดเจน สามารถระดมเงินเพื่อบริหารจัดการ ได้จากแหล่งเงินต่าง ๆ เช่น ธนาคาร แหล่งทุน เนื่องจากมีรายได้มหาศาลที่ชัดเจน
4.การดำเนินการของคณะกรรมการฯ ตามคำสั่ง หัวหน้า คสช. ที่ 3/2562 ควรเปิดเผยรายงานการประชุม ต่อสาธารณะ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน โดยทั่วไปได้
5.การต่อสัญญาสัมปทานดังกล่าว ยังดำเนินการไม่ครบถ้วน เช่น พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง 2562 และการตรวจสอบจากองค์กรอิสระต่าง ๆ ยังไม่แล้วเสร็จ
“หาก กทม. ยังคงยืนยันการดำเนินการเรื่องรถไฟสายสีเขียวในยามวิกฤติความเดือดร้อนของประชาชน ถือว่าเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ของบ้านเมือง และยังไม่ฟังเสียงประชาชนและข้อทักท้วงจากส่วนราชการ รวมถึงข้อแนะนำจากภาคประชาชน กมธ.จะเชิญผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในวันที่ 21 มกราคม นี้เพื่อคัดค้านการขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม และแจ้งเรื่องการคัดค้านดังกล่าวไปยังรัฐบาล เพื่อสั่งให้ยุติวิกฤติความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วที่สุด” ประธาน กมธ.การคมนาคม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี