นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าจากการติดตามนโยบายด้านการค้าของนายโจ ไบเดนประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ซึ่งมีนโยบายลดการพึ่งพาต่างชาติด้วยการสร้างความเข้มแข็งอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ เช่น เวชภัณฑ์ สินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง การย้ายฐานการผลิตคืนสู่สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Buy America และจะลดความตึงเครียดจากสงครามการค้าด้วยการใช้วิถีทางของกฎหมายทางการค้า แต่ยังไม่เปิดเจรจาการค้าใดๆ รวมทั้งจะยกเลิกนโยบายโดดเดี่ยวหันมาสร้างพันธมิตร ให้ความสำคัญกับการต่อสู้โลกร้อน ผ่อนคลายเรื่องแรงงานต่างชาติ เป็นต้น
ส่วนในกรณีของจีนจะไม่ยกเลิกมาตรการต่างๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์โดยทันที แต่อาจดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป และมีแนวโน้มเข้มงวดกับการขายสินค้าเทคโนโลยี และเซมิคอนดักเตอร์ให้แก่จีนจำกัดการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงจากจีน ส่วนสหภาพยุโรป (อียู) เน้นการฟื้นฟูมิตรภาพในส่วนที่เกี่ยวกับ เม็กซิโก และแคนาดา เห็นว่าสนธิสัญญา USMCA (United States-Mexico-Canada) เป็นข้อตกลงที่ดีกว่า NAFTA (NorthAmerican Free Trade Agreement)ในด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่เอเชียยังไม่แสดงความเห็นการเข้าร่วม RCEP และ CPTPP แต่นโยบายจะให้ความสำคัญกับเอเชียมากขึ้น รวมถึงจะฟื้นฟูความสัมพันธ์และร่วมมือกับ WTO มากขึ้น
สำหรับผลกระทบต่อไทยพบว่า นโยบายของนายไบเดน น่าจะส่งผลดีทำให้ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับกลุ่มประเทศเอเชียดีขึ้น สร้างโอกาสเพิ่มความร่วมมือทางการค้าการลงทุนของธุรกิจสหรัฐฯในไทย และช่วยเพิ่มโอกาสให้ไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯโดยเฉพาะสินค้าที่มีมาตรการทางการค้าสูงหรือไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงโดยใช้สหรัฐฯ เป็นฐานการผลิต และยังจะได้รับผลดีจากการที่สหรัฐฯ ไม่ยกเลิกภาษีนำเข้าจากจีนในทันที ทำให้ไทยยังสามารถใช้ประโยชน์ส่งออกที่ไปทดแทนสินค้าจากจีนได้
อย่างไรก็ตาม คงจะต้องระวังผลกระทบจากกรณีที่สหรัฐฯ จะพึ่งพาการผลิตในประเทศมากขึ้น ทำให้จะมีการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (NTMs) เพิ่มขึ้น สินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนจะได้รับผลกระทบจากนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมและรถยนต์ไฟฟ้า และยังให้ความสำคัญเรื่องการผลิตที่จะต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งต้องระวังในเรื่องการย้ายฐานการผลิตมาไทยที่จะลดลง หลังจากสงครามการค้าชะลอตัวนอกจากนี้ยังต้องจับตาดูนโยบายด้านการเงินการคลังของสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อค่าเงินบาทในอนาคตได้
นายสมเด็จกล่าวว่า กรมจะยังเดินหน้าขยายตลาดส่งออกในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องต่อไป เพราะเป็นตลาดหลักที่สำคัญ โดยปี 2564 ได้ตั้งเป้าขยายตัวที่ 4% โดยสินค้าที่มีศักยภาพ คือ อาหาสำเร็จรูป อาหารเสริม สินค้าที่เกี่ยวกับการทำงานที่บ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน วัสดุแต่งสวนสินค้าสัตว์เลี้ยง เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ออกกำลังกาย เกมส์และความบันเทิงภายในบ้าน และสินค้าป้องกันส่วนบุคคล เช่น ผลิตภัณฑ์ PPE เป็นต้น ที่จะมีความต้องการจนกว่าโควิด-19 จะคลี่คลาย
สำหรับกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในตลาดสหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับการผลักดันสินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทย โดยสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป เช่น อาหารแปรรูป สินค้าเกษตรอินทรีย์ ข้าว ผลไม้ไทย สมุนไพรไทย เป็นต้น โดยจะเน้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโปรโมทผ่านโซเชียลมีเดีย ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์และสตาร์ทอัพ จะได้เข้าร่วมกิจกรรมงานแสดงสินค้าในรูปแบบออนไลน์ และสำหรับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน มีการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในสหรัฐฯ รวมถึงจัด Virtual Trade Show ในกลุ่มสินค้าอาหาร อุปกรณ์เครื่องใช้ทางการแพทย์ (PPE) เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเจรจาธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทย นอกจากนี้จะได้เน้นการจัดเจรจาธุรกิจออนไลน์ในกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดสหรัฐฯ อีกด้วย
ที่สำคัญ จะได้เร่งพัฒนาและส่งเสริมการค้าปลีกสมัยใหม่ผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ระหว่างประเทศ ผ่านการจัดตั้งห้างสรรพสินค้าออนไลน์ TOPTHAI Store บนแพลตฟอร์ม Amazon.com,
การประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์สินค้าไทย เจาะกลุ่มผู้บริโภค Millennials and Gen Z ผ่าน Social Influencers ต่างๆ เป็นต้น และการประชาสัมพันธ์ข้อมูลการค้าการลงทุนในสหรัฐฯ ผ่านเว็บไซต์ ThaiTradeUSA.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี