นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจหรือจีดีพีไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ลดลง 2.6% ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลง 4.2% ในไตรมาสก่อนหน้าโดยมีแรงสนับสนุนสำคัญจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายรัฐบาลและการขยายตัวเร่งขึ้นของการลงทุนภาครัฐ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลงและการส่งออกบริการลดลงต่อเนื่องด้านการผลิต สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและสาขาการก่อสร้างกลับมาขยายตัวขณะที่สาขาเกษตรกรรมสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร และสาขาการเงินขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนการผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาไฟฟ้าและก๊าซ และสาขาการขายส่งการขายปลีกและการซ่อมแซมฯ ลดลงต่อเนื่อง
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัว 1.5-2.5% ปรับลดจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.5-3.5% ซึ่งเป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆจากการลดลง 6.1%ในปี 2563 ปัจจัยสนับสนุนจาก 1.แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก2.แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ และ 3.การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ.จะขยายตัว 10.3% ขณะที่การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว1.6% และ 4.3% ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 9.3% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 1.0-2.0% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 0.7% ของ จีดีพี
สำหรับปัจจัยเสี่ยงในปีนี้ มองว่าการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและการลงทุนภาคเอกชนถูกจำกัดด้วยฐานทางการเงิน แม้ภาครัฐจะดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาสภาพคล่องและมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดแรงงานยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยเฉพาะในสาขาที่มีข้อจำกัดในการฟื้นตัว ปัจจัยเสี่ยงเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ การฉีดวัคซีนมีความล่าช้า รวมถึงความล่าช้าในการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าในปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยประมาณ 5 แสนคน
“การระบาดของโควิด-19 รอบนี้คาดจะควบคุมได้ในเดือนมิถุนายน 2564 เป็นต้นไปและอยากจะขอความร่วมมือประชาชนให้รับฟังข้อมูลจากบุคลากรทางการแพทย์ เพราะเรื่องการฉีดวัคซีนจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชนในประเทศ” เลขาฯสภาพัฒน์ กล่าว
ดังนั้นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงปี 2564 ควรให้ความสำคัญกับ1.การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศเพื่อให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและอยู่ในวงจำกัดโดยเร็วและการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงระลอกใหม่ 2.การดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงานและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดและมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ 3.การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า 4.การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน 5.การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ 6.การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ7.การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี