นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลังกล่าวในงานสัมมนา Thailand Focus 2021: Thriving in the Next Normal เมื่อวันที่ 25 ส.ค.2564 ในหัวข้อ “สร้างความพร้อมประเทศไทย สู่โอกาสทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19”ว่า ในปีหน้ารัฐบาลมีแผนที่จะทุ่มสรรพกำลังและทรัพยากรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ผ่านมาใช้โมเดลภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ และสมุยพลัส ที่ขณะนี้ขยายไปครอบคลุมนักท่องเที่ยวจากจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้ของไทย การระบาดที่ลดลงจะทำให้รัฐบาลสามารถหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 4-5% ได้ภายในปีหน้า

สำหรับการออกมาตรการด้านการเงินได้มีการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เมื่อปีที่ผ่านมา ได้ออกพระราชกฤษฎีกาเงินกู้สองฉบับที่มีมูลค่ารวม 1.5 ล้านล้านบาทได้รับการอนุมัติ โครงการต่างๆภายใต้เงินกู้ฉุกเฉินก้อนแรก 1 ล้านล้านบาทถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว ขณะที่โครงการภายใต้เงินกู้ก้อนที่ 2 จำนวน 500,000 ล้านบาท ก็เริ่มต้นขึ้นแล้วและจะไปสิ้นสุดในปลายปีงบประมาณหน้ารวมทั้งการจัดหาวัคซีนและเร่งการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ

“แม้รัฐบาลจะมีโครงการกู้ยืมเป็นจำนวนเงินที่สูงแต่สัดส่วนของหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาตินั้น ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยอยู่ที่ร้อยละ 56.1 และกระทรวงการคลังก็คาดหมายว่าสัดส่วนหนี้ต่อ GDP นี้จะอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ในปลายปีงบประมาณนี้ อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการคลังที่มีประสิทธิภาพ และการมีวินัยการคลังอันเข้มงวด แต่หากต่อไปมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งตั้งขึ้นมาภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐก็สามารถที่จะทบทวนเพื่อที่จะยกระดับเพดานดังกล่าวได้” รมว.คลัง กล่าว

ปัจจุบันภาครัฐบาลได้เตรียมการเพื่อจะเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลับมามีความก้าวหน้าอีกครั้งเมื่อการระบาดนี้จบลง ส่วนปัจจัยหนุนเศรษฐกิจด้านการส่งออกพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ที่ผ่านมา ได้เห็นมูลค่าการส่งออกขยายตัวเกือบ 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และการ
ส่งออกของเดือนมิ.ย.ก็ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึง 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว อันเป็นการขยายตัวสูงที่สุดในรอบ 11 ปี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ได้สะท้อนจากตัวเลขการนำเข้าสินค้าทุนที่เพิ่มขึ้น 14.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน