ผู้สื่อข่าวรายานว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้หารือกับ นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมรับข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา กรณีผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ใน 4 หัวข้อสำคัญ ประกอบด้วย ข้อเสนอที่ 1.มาตรการด้านภาษีค่าธรรมเนียม ขอให้กระทรวงการคลัง พิจารณากำหนดให้นิติบุคคลและห้างหุ้นส่วนที่จัดประชุมสัมมนา หรือศึกษาดูงานและเข้าพักในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนที่กำหนดสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และขอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณามาตรการลดภาษีในส่วนของภาษีท้องถิ่น ได้แก่ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย รวมถึงภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยให้ลดอัตราภาษีลง 90% จากอัตราที่กำหนดไว้เดิม ขอให้กระทรวงการคลัง พิจารณาใช้มาตรการภาษีเฉพาะพื้นที่ 7 จังหวัด โดยยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม สำหรับผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ต่ำเกินกว่า 25% ของกำไรสุทธิ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่สงบ /ขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษี 3-6 เดือน ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในพื้นที่ /ลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจาก 3% เหลือ 1% เป็นเวลา 1 ปี สำหรับ ผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดน
ข้อเสนอที่ 2.มาตรการการเงินเพื่อสภาพคล่องผู้ประกอบการขอให้ธนาคารพาณิชย์ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและผู้ประกอบการในลักษณะที่สอดคล้องหรือใกล้เคียงกับมาตรการของสถาบันการเงินของรัฐที่ได้มีมาตรการช่วยเหลือออกมาแล้ว และขอให้ธนาคารภาครัฐออกมาตรการ “เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำฉุกเฉิน” ในวงเงิน ไม่เกิน 50,000บาทต่อครัวเรือน และดอกเบี้ยไม่เกิน 1% ต่อปี โดยยกเว้นการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยใน 12 เดือนแรก และพิจารณาจัดตั้ง “กองทุนฟื้นฟูชายแดน” วงเงิน 5,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ข้อเสนอที่ 3.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ/การท่องเที่ยว โดยขอให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พิจารณามาตรการสนับสนุนหรืองบประมาณแก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับการจัดกิจกรรมสัมมนาและศึกษาดูงานในพื้นที่ 7 จังหวัด เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยกำหนดพื้นที่ที่มีความปลอดภัยเป็นลำดับแรกๆ และขอให้ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ที่มีแผนจัดประชุม สัมมนา หรือศึกษาดูงาน พิจารณาเลือกใช้สถานที่ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน
ข้อเสนอที่ 4.มาตรการด้านแรงงานและการจ้างงาน โดยขอให้กระทรวงแรงงานพิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท สำหรับสถานประกอบการในประเภทธุรกิจโรงแรมและสถานบริการ และขอให้ยังคงใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่เคยกำหนดไว้เดิม และ ปรับลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตนลงให้เหลือ 0.5% เป็นเวลา 1 ปี รวมทั้งขยายกำหนดเวลาการน ส่งเงินสมทบของนายจ้าง ผู้ประกันตนมาตรา 33 และ มาตรา39 (อ้างอิงกับมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย) พร้อมทั้งสนับสนุนนำเข้าแรงงานทดแทนจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม เช่น สปป.ลาว หรือ เมียนมา โดยปรับขั้นตอนการนำเข้าแรงงานให้รวดเร็วและง่ายขึ้น และลดค่าใช้จ่ายใน การนำเข้าแรงงาน และเสนอให้นำแรงงานจากประเทศ อื่นๆมาเพิ่มเติม อาทิ จากประเทศบังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น
ทั้งนี้ภายหลังการหารือ นายพิชัย กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ซึ่งหอการค้าไทยได้เสนอมาหลากหลายประเด็น เพื่อมีมาตรการช่วยเหลือในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน เบื้องต้นจากการหารือ จะมีการจัดทำรายละเอียดต่อไป ส่วนปัญหาแรงงานขาดแคลน จะมีการหารือกันต่อ ว่าจะมีการจัดหาแรงงานเพิ่มเติมอย่างไร ซึ่งมีหลายวิธีทั้งแรงงานที่อยู่ในเมืองไทย ที่มีใบอนุญาตอยู่แล้ว อาจจะขยายเวลาอยู่ต่อหรือไม่ หรือแรงงานที่อยู่ไม่มีใบอนุญาต ก็ดำเนินการให้ถูกต้อง และหาแรงงานจากประเทศอื่นที่พร้อมส่งออกแรงงาน เช่น บังกลาเทศ เป็นต้น เพื่อมาเสริมแรงงานที่ขาดไป ขณะที่เรื่องขอให้รัฐบาลและเอกชน จะมีการจัดสัมมนาในพื้นที่ดังกล่าวก็จะหารือกับฝ่ายความมั่นคง ว่าจะอนุญาตอำเภอใดที่พร้อมจะให้เข้าพื้นที่ได้ ก็จะนำนโยบายภาครัฐที่มีการจัดสัมมนาหรือการท่องเที่ยว ก็จะสนับสนุนให้มีการลงพื้นที่ในพื้นที่นั้น ส่วนภาคเอกชน ก็จะมีมาตรการทางภาษีให้ เช่น ถ้ามีการไปจัดสัมมนาในพื้นที่ดังกล่าว อาจจะมีมาตรการลดหย่อนภาษีให้เป็นพิเศษ เป็นต้น
สำหรับมาตรการด้านอื่นๆ ขณะนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการไปแล้วบางส่วน เช่น ภาษีเงินได้ สำหรับคนที่ได้รับผลกระทบจะมีการยกเว้นให้เลย หรือการหักภาษี ณ ที่จ่าย การยื่นชะลอลดอัตราภาษี ซึ่งรัฐบาลจะดูให้หมด และจะทำงานร่วมกับภาคเอกชนจากใกล้ชิด เมื่อรับข้อเสนอแล้ว จะมีการแจกแจงเป็นเรื่องๆ และส่วนไหนที่จะต้องรับผิดชอบ เพื่อมาทำงานร่วมกัน ส่วนมาตรการทางการเงินที่มีข้อเรียกร้องลดอัตราดอกเบี้ยต่ำนั้นรัฐบาลจะไปดูเรื่องนี้ โดยภาครัฐยินดีให้อยู่แล้ว เหลือธนาคารพาณิชย์ จะมีการเรียกมาพูดคุยเพื่อขอความร่วมมือให้ช่วยเหลือในช่วงนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี