นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)ซึ่งประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่าที่ประชุมเห็นชอบปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย(จีดีพี)ขึ้นมาอยู่ในกรอบ -0.5% ถึง 1% จากก่อนหน้านี้คาดไว้ที่ -0.5ถึง 0% เพราะแผนการจัดหาวัคซีนที่ครอบคลุมประชากรมากขึ้น แนวโน้มการติดเชื้อที่เริ่มผ่อนคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
“เชื่อว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19ผ่านจุดพีคไปแล้ว หากไม่มีการล็อกดาวน์ไม่ปิดโรงงานอีก ก็ไม่ทำให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมหยุดชะงัก ซึ่งภาคอุตสาหกรรมถือเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบกับรัฐบาลทำงานเชิงรุกในการควบคุมการแพร่ระบาด มีวัคซีนเข้ามาเพียงพอภายในระยะเวลาที่กำหนด ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามที่คาดไว้ แต่หากการแพร่ระบาดกลับมาแย่ลง เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย”นายผยงกล่าว
อย่างไรก็ดี ในปี 2565 หน่วยงานภาครัฐประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3-5% ซึ่งเป็นระดับต่ำเกินไป และทำให้ระดับกิจกรรมเศรษฐกิจในปีหน้ายังอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 ส่งผลให้ธุรกิจจำนวนมากยังบอบช้ำ ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจฟื้นกลับมายืนได้ด้วยตัวเองโดยเร็ว ภาครัฐควรกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ท้าทายขึ้นเป็น 6-8% ซึ่งเป็นไปได้ในภาวะที่คนไทยกว่า 50% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว
ขณะเดียวกันภาครัฐจำเป็นต้องใช้กระสุนทางการคลังจากการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจาก 60% เป็น 70-80%จะทำให้มีเงินเข้ามาอีก 0.7-1.5 ล้านล้านบาท สำหรับสนับสนุนการจ้างงาน และใช้ในมาตรการที่มีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสูงเช่นรัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย (โค-เพย์เมนต์)หรือค้ำประกันสินเชื่อที่สูงขึ้น
ด้านการส่งออกปี 2564 กกร. คาดว่าจะโต 12-14% จากเดิมคาดไว้ที่ 10-12%จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐให้การสนับสนุนภาคธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ มีวัคซีนให้แรงงานได้ทั่วถึง ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายการทำชุดทดสอบตรวจหาเชื้อโควิดแบบรวดเร็ว (Rapid Test)เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดได้ทันท่วงที อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดคงอยู่ในกรอบ 1-1.2%
นอกจากนี้ รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยมาตรการระยะสั้น เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ เช่น โครงการคนละครึ่ง 3,000-6,000 บาท
ส่วนมาตรการระยะยาว มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างและรักษาฐานการผลิต รับมือสงครามทางการค้า ผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยการลงทุนภาครัฐควรทำต่อเนื่องทั้งโดยรัฐเอง และการลงทุนแบบเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ(พีพีพี) ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปอย่างเต็มศักยภาพ
“รัฐบาลไม่ควรใช้มาตรการล็อกดาวน์อีก เพราะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจค่อนข้างมาก แต่ควรใช้มาตรการ Bubble & Seal ร่วมกับการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit เชิงรุก โดยใช้ศักยภาพของภาค เอกชนอย่างเต็มที่” นายผยงกล่าว
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท. ย้ำว่าการล็อกดาวน์ไม่เกิดผลดีแต่ กลับส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ภาคเอกชนจึงไม่อยากให้ล็อกดาวน์อีก ขณะที่โควิดยังอยู่กับเรา เราจึงต้องยังคงอยู่กับโควิดต่อไปให้ได้ สิ่งสำคัญคือจะอยู่อย่างไร ภาครัฐต้องเร่งนำเข้าวัคซีนฉีดให้ประชาชนให้เร็วที่สุดให้ได้มากกว่า 50-70% ของประชากรทั้งประเทศโดยเร็ว เพื่อให้เปิดประเทศได้ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและมีโอกาสจะเห็นเศรษฐกิจปีหน้าเติบโตได้ถึง 6%
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี