EV ยานพาหนะแห่งอนาคต ลดค่าใช้จ่าย แก้ไขปัญหามลพิษ
จากปัญหามลพิษต่างๆ ที่เกิดขึ้น “การหันกลับมาดูแลสิ่งแวดล้อม” จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญในโลกยุคปัจจุบัน และนำไปสู่การที่มนุษย์พยายามปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปสู่รูปแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ “ยานยนต์ไฟฟ้า (EV)” ที่หลายประเทศส่งเสริมกันมาก และบางประเทศถึงขั้นตั้งเป้าว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่งในอนาคตอันใกล้ จะไม่มีการจำหน่ายและใช้ยานพาหนะแบบเดิมที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปอีกต่อไป เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเตรียมตัวทั้งฝั่งผู้ผลิตและผู้บริโภค
นายประสงค์ อินทรหนองไผ่ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่พัฒนานวัตกรรมและดิจิทัล บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และช่วยปฏิบัติงานบริษัท อรุณ พลัส จำกัด ในตำแหน่ง Head of OEM Partnership กล่าวว่า บริษัท ออน-ไอออน โซลูชั่น (On-I on Solutions) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น อรุณ พลัส (ARUN PLUS) ก่อตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจ EV Value chain ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่“แบตเตอรี่” เนื่องจากแบตเตอรี่คิดเป็นสัดส่วนถึง 30-40% ของราคายานยนต์ไฟฟ้า จึงต้องมีการลงทุนในส่วนนี้
บริษัทยังสนใจการผลิต EV ทุกประเภทตั้งแต่รถยนต์ จักรยานยนต์ ไปจนถึงรถตู้และรถบัส ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบทางธุรกิจ โดยเปิดรับหุ้นส่วนที่เป็นบริษัททั้งของไทยและต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และด้านธุรกิจ EV นอกจากนี้ยังทำแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อรวบรวมความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ผู้ที่สนใจ EV แต่ยังไม่รู้ว่าแตกต่าง หรือมีข้อดี-ข้อเสียเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปได้ทดลองผ่านแพลตฟอร์มเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งาน
“เราศึกษาธุรกิจ EV มานานพอสมควร จริงๆ ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีที่ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนเรื่อง EV อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ต้องขอพูดไปถึง Ecosystem (ระบบนิเวศ) ของ EV ตัวอย่างของหลายๆ ประเทศเกิดขึ้นได้เพราะภาครัฐให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ที่สำคัญก็คือเราจะต้องเปลี่ยนรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน มาเป็นรถที่ใช้พลังงานสะอาด ก็คือ Zero Emission (ปลอดไอเสีย)” นายประสงค์ กล่าว
หนึ่งในประเทศที่สามารถยกเป็นกรณีศึกษาได้คือ จีน ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญมาจากวิกฤตสิ่งแวดล้อม โดยหากใครเคยเดินทางไปประเทศจีนเมื่อหลายปีก่อน คงจะคุ้นเคยกับภาพท้องฟ้าสีเหลืองอ่อน ซึ่งสาเหตุหลักหนึ่งมาจาก การผลิตไฟฟ้ายังเน้นใช้ถ่านหิน แต่ระยะหลังๆ ได้พยายามปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานอื่น เช่น ก๊าซธรรมชาติ กับอีกส่วนหนึ่งคือการใช้รถยนต์แบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่ต่อมาทางการจีนได้ส่งเสริมการใช้ EV มากขึ้น
โดยการส่งเสริมของจีนนั้นไม่ได้เป็นเพียงส่งเสริมการใช้งาน แต่สนับสนุนผู้ผลิตจนทำให้ปัจจุบันจีนถือเป็นชาติผู้นำด้าน EV ระดับโลก มีทั้งบริษัทยานยนต์รายเดิมของจีนที่เพิ่มสายการผลิต EV ควบคู่กับรถเครื่องยนต์สันดาป และบริษัทใหม่หรือสตาร์ทอัพด้าน EV โดยเฉพาะ ขณะที่ประเทศไทยนั้น รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่า เมื่อผลิต EV ได้เองแล้วจะต้องสามารถส่งไปจำหน่ายในตลาดภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ด้วย
กลับมาที่ การลงทุนด้านสถานีชาร์จของยานยนต์ไฟฟ้า นอกพื้นที่สถานีบริการน้ำมัน เช่น ศูนย์ประชุม ห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร ฯลฯ (ส่วนสถานีชาร์จภายในสถานีบริการน้ำมัน จะอยู่ในส่วนของ OR) ประสงค์ เปิดเผยว่า จะมีการขยายสถานีชาร์จตามปริมาณการใช้ EV ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต แต่ในเบื้องต้นก็ต้องลงทุนก่อนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่สนใจจะหันมาใช้ EV อนึ่ง กลุ่มที่คาดว่าน่าจะสนใจหันมาใช้ EV คือผู้ใช้ที่รถเพื่อให้บริการเชิงพาณิชย์ เพราะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลงกว่ารถยนต์แบบเดิม
“EV เขาใช้คำว่า Maintenance (ซ่อมบำรุง) แบบแห้ง เพราะว่าไม่มีน้ำมันเครื่อง เราไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่เป็นเครื่องยนต์ เราไม่มีหม้อไอน้ำ เราไม่มีระบบเกียร์ที่บางครั้งเมื่อวิ่งไปนานๆ ก็ต้องไปเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ ฉะนั้นการซ่อมบำรุงรถ EV เรียกว่าซ่อมบำรุงแบบแห้ง เรามีข้อมูลจากบริษัทรถที่มีจำหน่ายในเมืองไทย เขาประมาณการค่าบำรุงรักษา EV ที่เป็นรถเก๋งขนาดกลาง 1 แสนกิโลเมตร ซึ่งก็อาจจะประมาณ 3 ปี ส่วนใหญ่คนใช้รถ 3 หมื่นกิโลเมตรต่อปี 1 แสนกิโลเมตร ค่าบำรุงรักษาอยู่ที่ประมาณ 8,000 บาท/ครั้ง ฉะนั้นก็จะทำให้ค่าบำรุงรักษาของ EV ต่ำมาก” นายประสงค์ ระบุ
แต่อีกด้านหนึ่ง ยังมีหลากหลายข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้ EV เช่น 1.อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ซึ่งก็ต้องยอมรับความจริงว่าเมื่อมีการชาร์จพลังงานเข้า-จ่ายพลังงานออก แบตฯ ย่อมเสื่อมสภาพไปตามวาระ แต่ปัจจุบันบริษัทผู้พัฒนา EV มีการรับประกันแบตฯ โดยบางเจ้ารับประกันนานตั้งแต่ 8-10 ปี หรือรับประกันเป็นระยะทาง 150,000-200,000 กิโลเมตร ซึ่งในวงการ EV จะให้นิยามคำว่า “แบตฯ เสื่อม” ว่าหมายถึง “แบตฯ ให้พลังงานได้ร้อยละ 70 จากเดิม” ดังนั้นหมายถึงเมื่อการใช้งาน EV ถึงปีที่ 8-10 จึงจะเห็นแบตฯ ให้พลังงานลดลงจากร้อยละ 100 เหลือร้อยละ 70
2.แบตเตอรี่เก่าอาจกลายเป็นขยะที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แม้แบตฯ ของ EV ที่ระบุว่าเมื่อผ่านไปจนหมดอายุรับประกัน หรือแบตฯ เสื่อม การให้พลังงานจะลดลงจากร้อยละ 100 เหลือร้อยละ 70 แต่แบตเตอรี่เก่าเหล่านี้ยังสามารถนำไปใช้ในกิจการอื่นๆ ได้ เช่น กักเก็บพลังงานจากระบบการผลิตพลังงานจากธรรมชาติ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เพราะการผลิตพลังงานก็ทำเฉพาะในช่วงที่มีแสงแดดหรือมีลม นอกจากนั้นก็ยังมีธุรกิจรับรีไซเคิลแบตเตอรี่อยู่ด้วย
“ในเร็ววันนี้ เราก็จะมีแอปพลิเคชั่น เพื่อที่จะช่วยทำให้ผู้บริโภคมีความคุ้นเคย มีโอกาสที่จะทดลองใช้รถ EV ผ่านการสมัครสมาชิก อาจจะเป็นรายอาทิตย์หรือรายเดือน ถัดไปก็จะมีการเชื่อมโยงไปสู่โปรแกรมที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่างๆ และในอนาคตจะเชื่อมต่อไปสู่ บริการใหม่ๆ เช่น การขาย การให้บริการครบวงจรในแอปพลิเคชั่นเดียว” นายประสงค์ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี