ไฟเขียวกู้1.34ล้านล้าน ดันหนี้สาธารณะแตะ62%
วันพุธ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2564คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีมติอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในการจัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ได้คำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังมีการระบาดอย่างต่อเนื่องและรุนแรง รัฐบาลจึงจำเป็นต้องยกระดับความเข้มข้นของมาตรการและการบังคับใช้อย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขและบรรเทาสถานการณ์ฉุกเฉินให้คลี่คลายลงโดยเร็ว โดยแผนฯ ในปีงบประมาณ 2565 รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้นโยบายการคลังในการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม 1,344,783.84 ล้านบาท
“ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวกระทรวงการคลังคาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 จะอยู่ที่ร้อยละ 62.69 ซึ่งกระทรวงการคลังประเมินว่าการลงทุนในแผนงาน โครงการต่างๆ ตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะจะช่วยเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายหลังจากที่สถานการณ์ COVID-19 มีแนวโน้มคลี่คลาย” นางแพตริเซีย กล่าว
สำหรับแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ทั้งนี้รัฐบาลกู้มาใช้โดยตรง วงเงินรวม 736,246.79 ล้านบาทประกอบด้วย เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2565 วงเงิน 700,000.00 ล้านบาท, เงินกู้เพื่อดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (ตามมาตรา 22 และ 23 ของ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะฯ) เป็นโครงการที่มีความสัมพันธ์กันและตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ของประเทศให้ครอบคลุมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ วงเงินรวม 36,246.79 ล้านบาท
นอกจากนี้ รัฐบาลกู้มาเพื่อดำเนินแผนงานหรือโครงการภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-19 เพิ่มเติมพ.ศ. 2564 วงเงิน 500,000.00 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังได้บรรจุวงเงินดังกล่าวในแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 150,000.00 ล้านบาท และมีผลการกู้เงิน จำนวน 144,166.34 ล้านบาท คงเหลือวงเงิน 5,833.66 ล้านบาท จึงนำวงเงินคงเหลือมาบรรจุในปีงบประมาณ 2565 รวมเป็นวงเงิน 355,833.66 ล้านบาท
ส่วนหนี้ที่รัฐบาลจะกู้มาให้กู้ต่อ วงเงินรวม 66,344.76 ล้านบาท ประกอบด้วย การกู้เงินเพื่อให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้ต่อ (โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี (สุวินทวงศ์)) วงเงินรวม 10,870.00 ล้านบาท การกู้เงินเพื่อให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กู้ต่อ (โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา) และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 6 สายทาง)วงเงินรวม 55,474.76 ล้านบาท และอื่นๆ