เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข เป็นประธานในพิธีลงนามร่วมทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ระยะที่ 3 ในส่วนท่าเทียบเรือ F ระหว่าง การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และกลุ่มกิจการค้าจีพีซี โดยมี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ร่วมงานด้วย
สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มูลค่าโครงการรวมประมาณ 110,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกทท. ลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาทและเอกชนลงทุนประมาณ 60,000 ล้านบาท ในส่วนของเอกชนแบ่งเป็นเงินลงทุนในท่าเทียบเรือ F ประมาณ 30,000 ล้านบาท ท่าเทียบเรือ E ประมาณ 25,000 ล้านบาท และท่าเทียบเรือ E0 ประมาณ 5,000ล้านบาท
เรือโทยุทธนา โมกขาวรองผู้อำนวยการ กทท. สายบริหารการเงินและกลยุทธ์องค์กร รักษาการแทนผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยว่า ได้ลงนามกับ บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด (GPC) ในสัญญาร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership : PPP) กับการท่าเรือฯเพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F จ.ชลบุรี เพื่อผลักดันท่าเรือแหลมฉบังสู่ประตูการค้า การลงทุน และเสริมยุทธศาสตร์ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้ประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการภายในปี 2568 ซึ่งท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 จะสามารถรองรับเรือที่มีขนาดบรรทุกสินค้าใหญ่ที่สุดในโลกได้
ขณะที่นายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทกัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด กล่าวว่าหลังจากลงนามสัญญาแล้ว ทางเอกชนอยู่ระหว่างการพิจารณาจ้างบริษัทเอกชนจากต่างประเทศเพื่อบริหารท่าเรือฯ ซึ่งเอกชนอาจจะบริหารเองหรือผู้รับเหมาช่วงเข้ามาดำเนินการ และเอกชนจะดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์และระบบภายในปี 2566 ภายหลัง กทท.ดำเนินการถมที่ดินแล้วเสร็จ ส่วนการดำเนินการพัฒนาท่าเรือดังกล่าวมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยแทนการใช้กำลังคน คาดว่าเอกชนจะมีรายได้อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท ภายในปี 2568-2572 และมีรายได้อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท ภายหลังปี 2572 ซึ่งจะทำให้เอกชนได้รับผลตอบแทนจากการคืนทุนของโครงการ ภายในปี 2578 หรือระยะเวลา 10 ปี
ทั้งนี้ การท่าเรือฯจะเป็นผู้ดำเนินการถมทะเล ในขณะที่ GPC จะเป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง ให้บริการ และซ่อมบำรุงรักษาท่าเทียบเรือ F1 และ F2 เพื่อรองรับการขนถ่ายตู้สินค้าด้วยระบบจัดการตู้สินค้าแบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถรองรับปริมาณการขนถ่ายตู้สินค้าได้อย่างน้อย 4 ล้าน T.E.U. ต่อปี แบ่งเป็น ท่าเทียบเรือ F1 จำนวน 2 ล้าน T.E.U. และท่าเทียบเรือ F2 จำนวน 2 ล้าน T.E.U.
สำหรับท่าเทียบเรือ F1 จะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2568 และท่าเทียบเรือF2 จะเริ่มก่อสร้างในปี 2570 โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในปี 2572
รายงานข่าวระบุว่า บริษัท จีพีซีอินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จํากัด ได้จัดตั้งเป็นนิติบุคคลใหม่โดยมีทุนจดทะเบียน วงเงิน 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกิจการร่วมค้า จีพีซี ประกอบด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทพีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด และบริษัทไชน่าฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี