ธกส.เริ่มโอนเงิน9ธ.ค.
ประกันรายได้ชาวนา
สปส.สรุปช่วยแรงงาน
เยียวยาร่วม1แสนล้าน
เปิดไทม์ไลน์ ธ.ก.ส. โอนเงินประกันรายได้ให้ชาวนา เริ่ม 9 ธันวาคมนี้ ด้านโฆษกรัฐบาลเผยขณะที่สมาคมชาวนาขอบคุณนายกฯและรัฐบาลที่ช่วยเกษตรกรในขณะที่ประกันสังคมเปิดตัวเลขเยียวยาแรงงานไปแล้วร่วมแสนล้าน
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงขั้นตอนการดำเนินการของ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรว่าจะเร่งรัดโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรในโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2564/65หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติ อนุมัติวงเงินสำหรับโครงการประกันรายได้เกษตกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65เพิ่มเติม จำนวน76,080.95ล้านบาทโดยเมื่อวานนี้(30พ.ย.)ธ.ก.ส.จะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรในโครงการฯในช่วง9-14 ธ.ค.นี้
โดย ธ.ก.ส.ได้เผยขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 30 พ.ย. คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินเพิ่มเติม
,1 ธ.ค. 64 ธ.ก.ส. รับแจ้งมติ , 3ธ.ค. 64 คณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ธ.ก.ส. พิจารณาและคณะกรรมการ ธ.ก.ส. พิจารณา, 7ธ.ค.64:ตรวจสอบข้อมูลเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ์, 8ธ.ค. 64 : เตรียมการโอนเงิน, 9 -14 ธ.ค. 64 :โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรตามโครงการ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ได้ขอบคุณพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐบาล หลังจากมติครม. อนุมัติการจ่ายเงินจากโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว และโครงการคู่ขนาน ช่วยเหลือชาวนาในส่วนของต้นทุนและปัจจัยการผลิต รวมถึง เมล็ดพันธุ์ข้าว เป็นการยืนยันให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ได้ตอบรับและใส่ใจความเดือดร้อนของเกษตรกร และเร่งแก้ปัญหาให้พี่น้องชาวนาอย่างเร่งด่วน ซึ่ง ถูกต้องและถูกใจเกษตรกรด้วย
“ในฐานะ ประธานบอร์ด นบข. นายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดดำเนินการและเป็นไปตามมติ ของ นบข. ในการช่วยเหลืออุดหนุนรายได้พี่น้องเกษตรกรชาวนา ในโครงการประกันรายได้เกษตรผู้ปลูกข้าว ในช่วงที่ราคาพืชเกษตรตกต่ำ เพื่อให้มั่นใจว่า เกษตรกรชาวนาไทย จะมีรายได้ที่เหมาะสม สามารถเลี้ยงชีพตนและช่วยครอบครัวได้ ซึ่งหลังจากนี้ มีการคาดการณ์ว่า ราคาข้าวจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อพี่น้องเกษตรที่จะขายข้าวได้ในราคาสูงขึ้น และยังช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐในอนาคต ในโครงการ ฯ อีกด้วย” นายธนกร กล่าว
วันเดียวกัน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าจากการที่รัฐบาลได้มีมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลได้เร่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรา 39 มาตรา 40 ที่ได้รับผลกระทบใน 9 ประเภทกิจการ ครอบคลุมพื้นที่ สีแดงเข้ม 29 จังหวัด โดยได้เริ่มทยอยโอนเงินเยียวยาเข้าบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับบัตรประชาชนของผู้ประกันตน ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2564 เป็นต้นมา ซึ่งปัจจุบัน การจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้ประกันตน มาตรา 33, 39 และ 40 สำนักงานประกันสังคม (สปส.)จ่ายไปแล้วเป็นเงิน 100,807,738,500 บาท ครอบคลุม นายจ้างจำนวน 176,769 แห่ง และผู้ประกันตนรวมทั้งสิน 12,096,818 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564)
รองโฆษกสำนักนายกฯฯกล่าวอีกว่าสำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบ ซึ่งสถิติปี 2563 ประเทศไทยมีแรงงานนอกระบบจำนวน 20.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 53.8 ของผู้มีงานทำทั้งหมด 37.9 ล้านคน อยู่ในภาคเกษตรกรรมมากที่สุด ร้อยละ 55.6 รองลงมาคือ ภาคการค้าและบริการ ร้อยละ 34.1 และภาคการผลิต ร้อยละ 10.3 รัฐบาลมีนโยบายดูแลเพื่อให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ในการประกอบอาชีพและหลักประกันทางสังคมให้ครอบคลุม โดยเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ เช่น การรณรงค์ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ การช่วยเหลือกลุ่มแรงงานนอกระบบหรือองค์กรแรงงานนอกระบบ รวมถึงการให้แรงงานนอกระบบสามารถกู้ยืมเงินจากกองทุนทั้งแบบรายบุคคลและรายกลุ่ม เพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิต และมีหลักประกันทางสังคมสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ เช่น ประกันทรัพย์สิน ประกันชีวิต ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์นอกเหนือจากที่ผู้ประกันตนมาตรา 40 ได้รับจากกองทุนประกันสังคม สำหรับแหล่งรายได้ของกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบมาจาก เช่น ค่าสมาชิกรายปีคนละ 360 บาท ทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้ครั้งเดียววงเงิน 100 ล้านบาท และเงินดอกผลของกองทุน
“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ สำหรับผู้มีอาชีพอิสระ ขอเชิญชวนให้มาสมัครเป็นสมาชิกประกันสังคม มาตรา 40 เพราะจะได้รับความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ประกันสังคม กรณี เช่น ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยทุพพลภาพ ตาย และขณะนี้ รัฐบาลได้ขยาย อายุผู้ประกันตน มาตรา 40 เป็น 65 ปี ทั้งนี้ในระยะต่อไป เมื่อกองทุนฯได้จัดตั้งเป็นที่เรียบร้อย ก็จะเป็นการเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตน เพิ่มโอกาสการเข้าถึงเงินทุนประกอบอาชีพ และความมั่นคงในการประกอบอาชีพ” นางสาวรัชดา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี