‘คนละครึ่ง’เฟส3กระฉูด
ยอดใช้จ่ายรวมทะลุ2แสนล้านบ.
ปชช.ใช้สิทธิ์26.3ล้านคน
คลังเร่งใช้ให้หมดก่อนสิ้นปี
‘ยิ่งใช้ยิ่งได้’ไม่น้อยหน้า
ยอดสะสม3.7พันล้านบาท
คลังสรุปยอดใช้จ่าย“คนละครึ่ง”เฟส 3 กระฉูดทะลุ 204,325 ล้านบาทจากคนใช้ 26.3 ล้านคน ส่วน “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ยอดใช้จ่ายสะสมรวม 3,789 ล้านบาท เชิญชวนประชาชนที่ยังมีวงเงินคงเหลือ เร่งใช้จ่ายให้ครบก่อนสิ้นสุดโครงการ 31 ธันวาคมนี้ ขณะที่รัฐบาลโชว์ผลงานค้ำประกันสินเชื่อช่วยSMEs เข้าถึงแหล่งทุน 2.4 แสนล้านรักษาระดับจ้างงาน กว่า2 ล้านตำแหน่ง จ้างงานใหม่ 4.43 แสนคน
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2564 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2564โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีความคืบหน้า ดังนี้ โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 26.3 ล้านราย จากผู้ได้รับสิทธิจำนวน 27.98ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 204,325 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายสะสม 103,901.1 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 100,423.9 ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสมแบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 81,255.2 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 32,786.3 ล้านบาท ร้าน OTOP 9,777.9ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 76,750.3 ล้านบาท ร้านบริการ 3,521 ล้านบาท และกิจการขนส่งสาธารณะ 234.3 ล้านบาท
นายพรชัยกล่าวว่าโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีประชาชนผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 91,952 ราย จากผู้ได้รับสิทธิจำนวนกว่า 4.9 แสนราย โดยมียอดใช้จ่ายสะสมส่วนประชาชนรวม 3,789 ล้านบาท มีมูลค่าการใช้จ่ายสะสมที่นำมาคำนวณสิทธิ e-Voucher 3,064 ล้านบาท และคิดเป็นมูลค่าสะสม e-Voucher ทั้งสิ้นกว่า353.8 ล้านบาทและมูลค่าการใช้จ่ายสะสมส่วน e-Voucher 286.6ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสมรวมส่วนประชาชนและ e-Voucher แบ่งตามประเภทตามร้านค้าได้แก่ร้านอาหารและเครื่องดื่ม190.2ล้านบาท ร้านธงฟ้า 208.7ล้านบาท ร้าน OTOP 433.7ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป3,099.8ล้านบาท และร้านบริการ143.2ล้านบาท
สำหรับข้อมูลการใช้จ่ายผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่ แพลตฟอร์มล่าสุด ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2564 เวลา 08.00 น. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีการใช้จ่ายสะสมประมาณ 3,181 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนใช้จ่าย 1,644.4 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 1,536.6 ล้านบาท สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้มีการใช้จ่ายสะสมประมาณ 2.39 ล้านบาท และในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มล่าสุดขณะนี้ มีจำนวนประมาณ 80,000 ราย
“ขอให้ประชาชนเร่งการใช้จ่ายโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือใช้จ่ายในส่วน e-Voucher สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เนื่องจากจะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งขณะนี้โครงการคนละครึ่ง ระยะที่3 มีจำนวนผู้ใช้สิทธิครบ 4,500 บาท แล้วกว่า 6.5 ล้านคน จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังมีวงเงินคงเหลือเร่งการใช้จ่ายให้ครบก่อนสิ้นสุดโครงการ ทั้งนี้ หากพ้นกำหนดดังกล่าวจะไม่สามารถใช้สิทธิวงเงินที่เหลือได้อีก”โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าว
ด้าน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการขับเคลื่อนมาตรการรัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งทุน เพื่อพยุงกิจการให้เดินหน้าต่อ สามารถก้าวข้ามปัญหาสภาพคล่องในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) หน่วยงานของรัฐที่มีบทบาทการ “ค้ำประกันสินเชื่อ” ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ และคาดว่า ณ สิ้นสุดปี 2564 จะมียอดค้ำประกันสินเชื่อมากกว่า 2.4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่สร้างสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้ง บสย. ก่อให้เกิดการจ้างงาน 2.65 ล้านคน แบ่งเป็นการรักษาการจ้างงาน 2.12ล้านคน และ การจ้างงานใหม่ 4.43 แสนคน
นางสาวรัชดา กล่าวว่า ตัวเลข ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2564 มียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ 2.34 แสนล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs 2 แสนกว่าราย ประกอบด้วยโครงการที่โดดเด่น 3 โครงการได้แก่ 1.โครงการค้ำประกันสินเชื่อตาม พ.ร.ก. สินเชื่อฟื้นฟู 2.โครงการ PGS-9 วงเงินค้ำประกันสินเชื่อ และ 3. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro 4 มีรายละเอียด คือ 1. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ ตาม พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู เฟส 1-2 คิดเป็นสัดส่วน 53.2% ยอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ 124,912 ล้านบาท จำนวนลูกค้า 36,776 ราย เกิดสินเชื่อจากการค้ำประกัน 127,310 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ยต่อราย 3.17 ล้านบาทต่อฉบับ ทั้งนี้เกิดการจ้างงานรวม 1,206,367 ราย เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ รวม 515,885 ล้านบาท ธุรกิจที่มีการค้ำประกันสินเชื่อสูงสุดภายใต้ โครงการ 3 ลำดับ ได้แก่ 1. ธุรกิจบริการ 28% 2.ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 10% 3. ธุรกิจยานยนต์ 9%
2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. คิดเป็นสัดส่วน 46.8% ประกอบด้วยโครงการ PGS-9 โครงการไมโคร4 และโครงการอื่นๆ ยอดอนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อกว่า 110,080 ล้านบาท อนุมัติ LG 184,724 ฉบับ จำนวนลูกค้า 176,525 รายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ยต่อราย 0.60 ล้านบาทต่อฉบับ เกิดสินเชื่อจากการค้ำประกัน 122,038 ล้านบาท เกิดการจ้างงานรวม 1,320,732 ราย เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 454,634 ล้านบาท ธุรกิจที่มีการค้ำประกันสินเชื่อสูงสุด ได้แก่ 1. ธุรกิจบริการ 29% 2.ธุรกิจการผลิตสินค้าและการค้าอื่นๆ 16% 3. เกษตรกรรม 10%
“บสย.เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล เป็นการสร้างความมั่นใจให้ธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยกู้ ช่วยให้ภาคธุรกิจไม่ขาดสภาพคล่องและสามารถประคับประคองตัวเองต่อไปได้ สำหรับ SMEs ที่ขณะนี้มีปัญหาเรื่องการเงิน สามารถขอรับคำปรึกษา ได้จาก บสย.F.A. Center ซึ่งพร้อมให้คำปรึกษาทางการเงิน การปรับโครงสร้างหนี้ การพัฒนาธุรกิจ แก่ผู้ประกอบการ SMEs ทุกราย โดยไม่มีค่าใช้จ่าย” รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี