เปิดส่วนแบ่งตลาดสื่อสารยุค New Normal ทุกค่ายล้วนปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อความอยู่รอด และรักษาการเติบโต เพื่อประโยชน์ลูกค้าที่มากขึ้น
ช่วงที่ผ่านมา บรรดาธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศไทยต่างมีการปรับตัวกันอย่างเห็นได้ชัด มีการควบรวม เปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ขยายตลาดสู่ธุรกิจดิจิทัล เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนไป จากเดิมโครงข่ายโทรคมนาคมสื่อสารที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน เคยเป็น ‘ขุมทอง’ ก็ไม่สามารถสร้างรายได้ต่อไปอีกแล้ว แต่ละบริษัทจึงต่างต้องแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ เพื่อให้แข่งขันได้ และไม่ใช่การแข่งขันกันเอง แต่เป็นการแข่งขันกับผู้เล่นระดับโลก ที่เข้ามามีบทบาทและกอบโกยรายได้จากการทำธุรกิจในไทยอย่างมาก
#อย่ามองข้าม NT อนาคตแกร่ง กับ 7 จุดแข็ง หลังควบรวม CAT+TOT พร้อมแข่งขันในยุคดิจิทัล
เริ่มจากการควบรวมรายแรกที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2564 ที่ผ่านมา ระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ตั้งเป็น NT หรือบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ซึ่งนับเป็นการควบรวมกิจการครั้งประวัติศาสตร์ และทำให้ NT กลายเป็นบริษัทที่มีโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรมากที่สุด ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 3 แสนล้านบาท ทำให้ประเทศไทยมีรัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคมเป็นครั้งแรก เปรียบเทียบกับปตท. และการบินไทย ซึ่งจะเป็นองค์กรที่เป็นหน้าเป็นตาของภาครัฐ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านดิจิทัลของประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ มีรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
หากจำได้ในช่วงการควบรวม เหตุผลที่การควบรวมนี้ประสบความสำเร็จ เกิดจากการหลอมรวมของเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม และกระแส “Digital Disruption” (ดิจิทัล ดิสรัปชัน) ทำให้ทีโอทีและ กสท. ไม่สามารถยืนหยัดในบทบาทเดิมได้อีกต่อไป ทำให้แทบไม่มีเสียงคัดค้านการควบรวมจากพนักงานและสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจของทั้งสององค์กรเลย เนื่องจากต่างรู้สถานะดีว่า “ถ้าไม่ควบรวม กิจการไปไม่รอดแน่” เพราะฐานะทางการเงินที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่สิ้นสุดสัญญาสัมปทานมือถือเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น การควบรวมจึงเป็นทางออกที่จะทำให้สององค์กรนี้อยู่รอด และทำให้ “NT” ในปัจจุบันกลายเป็นองค์กรที่ถือครองโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรที่สุดด้วย 7 จุดเด่นที่เหนือกว่ารายอื่นๆ ได้แก่
1. เสาโทรคมนาคมกว่า 25,000 ต้น ทั่วประเทศ 2. เคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศเชื่อมต่อไปยังทุกทวีป 3. ถือครองคลื่นความถี่หลัก เพื่อให้บริการรวม 6 ย่าน มีปริมาณ 600 เมกะเฮิรตซ์ 4. ท่อร้อยสายใต้ดินมีระยะทางรวม 4,600 กิโลเมตร 5. สายเคเบิลใยแก้วนำแสง 4 ล้านคอร์กิโลเมตร 6. Data Center 13 แห่งทั่วทุกภูมิภาค 7. ระบบโทรศัพท์ระหว่างประเทศที่เข้าถึงจากทุกประเทศทั่วโลก ไร้ข้อจำกัดแบบเดิม เชื่อมโยงโลกการสื่อสารเข้าด้วยกัน
#AIS ปรับโครงธุรกิจ ดึง GULF ร่วมผนึกกำลัง SINGTEL ซีอีโอประกาศลั่น ไม่หวั่นค่ายอื่นควบรวม
เมื่อพิจารณาธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมแล้ว “AIS” ถือเป็นพี่ใหญ่ที่ทำรายได้สูงสุดมาโดยตลอด แม้จะมีข่าวเรื่องของการควบรวมล่าสุดของTRUE และ DTAC ที่มีการมองว่าจะทำให้ AIS กลายเป็นเบอร์รอง เพราะควบรวมแล้ว ฐานลูกค้า TRUE และ DTAC จะเป็น 51.3 ล้าน ขณะที่จำนวนลูกค้าของ AIS = 43.7 ล้าน ซึ่งการมองเช่นนั้นก็ยังไม่ถูกต้องนัก เพราะจำนวนลูกค้าหรือเลขหมายที่มากกว่า ไม่ใช่ว่าจะใหญ่กว่า เพราะสิ่งที่จะวัดส่วนแบ่งตลาดได้คือ มูลค่าในเชิงรายได้ ซึ่ง AIS มีส่วนแบ่งตลาดเชิงรายได้ที่ใหญ่กว่า คือ จำนวนลูกค้าของ AIS ยังสามารถสร้างมูลค่าในเชิงรายได้มากกว่าอีก 2 เครือข่าย กับทั้งมูลค่าบริษัทของ AIS ก็ยังใหญ่กว่า โดยปัจจุบันมูลค่าบริษัท AIS อยู่ที่ 639,394 ล้านบาท ส่วน TRUE 158,832 ล้านบาท และ DTAC 107,143 ล้านบาท (เมื่อรวมกันสองบริษัท= 265,975 ล้านบาท) และ NT ที่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดกว่า 3 แสนล้านบาท สรุปคือไม่ว่า จะมีใครควบรวมกับใคร AIS ก็ยังเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุด
นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ยังได้กล่าวในวาระก้าวสู่ปีที่ 32 ว่า "AIS ไม่ได้สนใจการควบรวมของคู่แข่ง และไม่สนว่าเป็นอย่างไร สนใจแต่ว่าลูกค้าต้องการอะไร เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ดีที่สุด"
สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ การเพิ่มรายได้ของผู้นำตลาดอย่าง AIS เองนั้นกำลังจะเปลี่ยนไป เรียกได้ว่ามาเหนือชั้น มีโอกาสทางธุรกิจที่จะเพิ่มรายได้จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ได้มากขึ้น นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยมี บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยได้ทำการเสนอซื้อหุ้น บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ หรือ INTUCH ทำให้ปัจจุบันกลุ่ม GULF เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน INTUCH แทน เทมาเสก โฮลดิ้งส์ จากสิงคโปร์ ในสัดส่วนรวมกัน 42.25% ขณะที่ INTUCH เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ใน บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC สัดส่วน 40.44%
การปรับเปลี่ยนการถือหุ้นของ AIS โดยที่มี GULF เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น ทำให้โครงสร้างพื้นฐานที่ AIS มีอยู่ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายอาณาจักรธุรกิจจากกลุ่มพลังงานไปสู่อีกหลากหลายธุรกิจ รวมถึงธุรกิจดิจิทัล ที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมาเพิ่งมีการจัดตั้ง บริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจดิจิทัลโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และบริการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการร่วมลงทุนกับพันธมิตรเพื่อผนึกความเชี่ยวชาญของแต่ละฝ่าย และนำข้อมูลมาใช้ในการสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) ในอนาคต เพื่อรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของความต้องการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในประเทศไทย
ล่าสุด มีการลงนามร่วมพัฒนาธุรกิจ ผนึกกำลังระหว่า GULF-Singtel-AIS บุกพัฒนาธุรกิจ Data Center ในไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในประเทศ ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับบริการด้านการจัดการและจัดเก็บข้อมูลขององค์กรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เรียกได้ว่า หลังการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น AIS ก็มีธุรกิจใหม่ ๆ ที่พร้อมจะทำรายได้เพิ่มมากขึ้น ยิ่งกว่าการเป็นผู้ให้บริการมือถือได้อย่างชาญฉลาด
#TRUE ผนึก DTAC ก้าวสู่บริษัทเทคโนโลยี หวังใช้นวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้า
อีกหนึ่งการปรับเปลี่ยนของวงการโทรคมนาคม ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ขณะนี้ คงต้องพูดถึงการประกาศความร่วมมือระหว่าง TRUE และ DTAC โดย TRUE มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี และ DTAC ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือเทเลนอร์ (Telenor) ประกาศข้อตกลงเบื้องต้นจะดำเนินการจัดตั้งบริษัทใหม่ ถือหุ้นเท่ากันในสัดส่วน 50:50 ดีลครั้งนี้จะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2565 ซึ่งทั้งสองประกาศมีเป้าหมายร่วมกันที่จะก้าวไปสู่ “เทคคัมปะนี” (Tech Company) ขยายขอบเขตไปสู่บริการดิจิทัล ที่อาจไปไกลถึงเทคโนโลยีอวกาศ (Space Technology) ขณะที่บริการโครงสร้างพื้นฐานในฐานะโครงข่ายมือถือจะกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจหลากหลายของบริษัทใหม่ที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังประกาศที่จะตั้งกองทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หนุนเทคสตาร์ตอัพ ปั้นไทยขึ้นฮับเทคโนโลยีระดับโลก
ผู้บริหารของ TRUE และ DTAC ได้แถลงร่วมกันไว้ว่า “การควบรวมครั้งนี้เป็นการขับเคลื่อนร่วมกันที่จะตั้งบริษัทใหม่ ด้วยหลักการสำคัญคือเป็นเจ้าของที่เท่าเทียมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อ TRUE และ DTAC ที่เท่า ๆ กัน โดยความร่วมมือกันครั้งนี้เป็นการแสวงหาการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง การลงทุนด้านนวัตกรรมระดับโลกที่แข็งแกร่ง และการให้บริการใหม่ ๆ ที่แข็งแกร่งแก่ผู้บริโภค โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่มีมูลค่ากว่า 2.17 แสนล้านบาท และหวังจะได้เห็นส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการร่วมกันนี้ เพราะธุรกิจโทรคมนาคมปัจจุบันจำเป็นต้องเปลี่ยนภูมิทัศน์ธุรกิจ ต้องสร้างความเข้มแข็ง ทั้งด้านอินเทอร์เน็ต ดาต้า และการเชื่อมผู้บริโภคชาวไทยสู่สังคมดิจิทัลอนาคต”
#สรุปได้ว่าทุกบริษัทไม่ว่าเล็ก กลาง ใหญ่ ต้องปรับตัว ไม่ว่าในไทยหรือทั่วโลก เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและอยู่รอดได้ในการดำเนินธุรกิจ
ถึงแม้ว่าคนจะพูดถึงดีลของTRUE และ DTAC ว่าเป็นดีลสำคัญของปี แต่หากดูส่วนแบ่งตลาดแล้วจะพบว่าผู้เล่นทุกรายในไทยล้วนมีศักยภาพ การที่ทุกรายปรับตัวจะทำให้การแข่งขันมีความใกล้เคียงกันมากขึ้น และผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดนั่นก็คือลูกค้า การควบรวม TRUE และ DTAC ดูแล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากการควบรวมของ NT หรือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ AIS เพื่อขยายธุรกิจหลากหลายรองรับการเปลี่ยนไปของยุคสมัย แต่ก็กลายเป็นข่าวดังและเป็นกระแสที่มีการคัดค้านจากนักวิชาการรุ่นเก่าและนักการเมืองที่มองว่าบริษัทใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้จะกลายเป็นรายใหญ่สุดที่ครองตลาด จะผูกขาดการแข่งขัน จะทำให้ราคาสูงขึ้น ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีกสทช. เป็นผู้กำกับดูแลเรื่องราคาอยู่แล้ว ส่วนเรื่องประเด็นที่ว่าจะใหญ่นั้น ดูเหมือนทุกรายในวงการนี้ ต่างใหญ่ไม่ต่างกันแล้ว แต่ที่สำคัญคือใครที่จะนำพาธุรกิจไปให้แข็งแกร่ง และแข่งขันได้กับผู้ให้บริการระดับโลกที่เข้ามาแบบไม่มีกฎหมายควบคุม เป็นผู้ให้บริการ Over the top ที่มีบริษัทอยู่ต่างประเทศ แต่เข้ามาสร้างรายได้ในไทย
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี