บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด แจ้งข่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์การผลิตรถยนต์ของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ได้รับใบรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 4 จากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยศูนย์การผลิตรถยนต์ดังกล่าวเป็นหนึ่งในฐานการผลิตสำคัญของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ซึ่งส่งออกรถยนต์ไปยัง 120 ประเทศทั่วโลก และปัจจุบันได้ผลิตรถยนต์ไปแล้วกว่า 6 ล้านคัน
มร.เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่โรงงานทั้ง 6 แห่งของ มิตซูบิชิมอเตอร์ส ประเทศไทย และโรงงานผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วน หรือ บริษัท เอ็มเอ็มทีเอชเอ็นจิ้น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ได้รับใบรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 4 ซึ่งใบรับรองดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะมีส่วนสนับสนุนสังคมไทยในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโตก้าวหน้าไปพร้อมกัน”
รัฐบาลไทยได้มอบใบรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวให้แก่องค์กรธุรกิจที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและดำเนินงานตามเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งใบรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 4 ที่ มิตซูบิชิมอเตอร์ส ประเทศไทย ได้รับล่าสุดนั้น จะถูกมอบให้แก่องค์กรธุรกิจที่ไม่เพียงนำเอาแนวคิดด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้กับวัฒนธรรมขององค์กรเท่านั้น แต่ยังสามารถกำหนดมาตรการ ประเมินผล และพัฒนาระบบดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ดำเนินโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในโรงงานต่างๆ ของบริษัทโดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยของเสีย ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
มร.โคอิโตะ กล่าวเสริมว่า “เราได้ใช้เทคโนโลยีสีฐานน้ำ (Waterborne Paint) ที่สามารถลดการปล่อยสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย หรือ VOCs (Volatile Organic Compounds) และสร้างระบบบำบัดน้ำเสียให้มีความสอดคล้องกับหลักการจัดการของเสียตามหลัก 3Rs ด้วยการลดการใช้ (Reduce) การนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle)เพื่อลดการใช้น้ำดิบให้น้อยลงและลดการปล่อยน้ำเสีย นอกจากนี้ เรายังได้ติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาโรงงาน และใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในขั้นตอนกระบวนการผลิตรถยนต์ของเรา โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากกว่า 6,100 ตันต่อปี”
ทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังได้เปิดตัว มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี เพื่อนำเสนอทางเลือกใหม่ให้แก่ลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้รถเอสยูวีพลังไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (SUV)ที่ไม่เพียงแต่มีสมรรถนะสูงแต่ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้ริเริ่มโครงการด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ล่าสุดคือ “Solar for Lives : พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” โดยติดตั้งระบบแผงพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อช่วยผลิตพลังงานไฟฟ้าให้แก่โรงพยาบาลชุมชนต่างๆ ในพื้นที่ทั่วประเทศ และยังสนับสนุนการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านโครงการ “ปลูกป่า 60 ปี 60 ไร่” ด้วย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของโครงการและกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังได้รับการรองรับคุณภาพ ISO 14001 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 รวมถึงได้รับใบรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2558 และรางวัล 3Rs Award จำนวน 2 ครั้ง จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในปี พ.ศ.2558 และ พ.ศ.2563
“ผมขอขอบคุณพนักงาน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ทุกคน รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและล้วนมีบทบาทสำคัญในความสำเร็จครั้งนี้ เราต้องการที่จะแสดงให้เห็นถึงความยึดมั่นในพันธสัญญาที่จะมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความยั่งยืนอย่างเต็มรูปแบบ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดอายุของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle) ด้วยการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ หรือการส่งมอบรถยนต์จากโรงงานผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงทุกๆ กิจกรรมของเราอย่างต่อเนื่อง”มร.โคอิโตะกล่าว
บริษัทฯจะยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการและการดำเนินงานต่างๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อม (The Environmental Plan Package) ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ เปอเรชั่นที่ตั้งเป้าสู่การส่งเสริมการสร้างสรรค์สังคมที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงในอีก 30 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นการสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ดังกล่าวมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์เปอเรชั่น พร้อมให้การสนับสนุนการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานหมุนเวียน การสร้างสังคมที่มีการนำเอาทรัพยากรต่างๆ กลับมาใช้ใหม่ และการลดหรือป้องกันการเกิดมลพิษด้วยการควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากผลิตภัณฑ์และกิจกรรมการดำเนินงานของบริษัทฯ อีกด้วย
- เกี่ยวกับ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย
บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เป็นศูนย์การผลิตที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาศูนย์การผลิตของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ทั่วโลก และยังเป็นศูนย์กลางการส่งออกรถยนต์มิตซูบิชิ ไปยังกว่า 120 ประเทศ ทั้งนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย คือหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของประเทศไทยที่มีความมุ่งมั่นในการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีคุณภาพสูง เพียบพร้อมด้วยสมรรถนะ ความปลอดภัย ความสะดวกสบายและเทคโนโลยี เพื่อความพึงพอใจของลูกค้า ในปี พ.ศ. 2561 มิตซูบิชิมอเตอร์ส ประเทศไทย ฉลองการผลิตรถยนต์ครบ 6 ล้านคัน และได้เปิดทำการสถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิมอเตอร์ส (ประเทศไทย) อย่างเป็นทางการที่จังหวัดปทุมธานี โดยผลิตภัณฑ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทยประกอบด้วย มิตซูบิชิ ไทรทัน มิตซูบิชิ ปาเจโรสปอร์ต มิตซูบิชิ แอททราจ มิตซูบิชิมิราจ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส และมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพสูงสุด มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ใช้สนามทดสอบสมรรถนะในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีในการประเมินผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบและการพัฒนารถต้นแบบไปจนถึงการทดลองผลิตและการผลิตเพื่อจัดจำหน่าย ซึ่งสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับรถยนต์ที่มีคุณภาพสูงสุด
l สำหรับลูกค้าที่สนใจชมหรือทดลองขับรถยนต์มิตซูบิชิรุ่นต่างๆสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิ ทั่วประเทศหรือ มิตซูบิชิ คอลเซ็นเตอร์ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2079-9500วันจันทร์-วันอาทิตย์ ระหว่างเวลา 08.30-17.00 น.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี