ชาวบ้านร้องจ๊าก! 1 เม.ย.65 ‘ก๊าซหุงต้ม’ปรับขึ้นราคา 15 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ‘ค่าเอฟที’ขึ้น16 สตางค์/หน่วย งวดเดือน พ.ค. พร้อมกัดฟันตรึงดีเซล 30 บาท เต็มกำลังเงินกู้ถึง พ.ค. เล็งช่วยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ และเพิ่มค่าก๊าซเป็น 100 บาทต่อ 3 เดือน
11 มีนาคม 2565 กระทรวงพลังงาน นำโดยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน แถลงสถานการณ์ราคาพลังงาน และแผนรับมือ พร้อมเร่งรณรงค์ทุกภาคส่วน “รวมพลังคนไทย ลดใช้พลังงานหาร 2” หลังจากราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งในรอบ 14 ปี หลังเกิดวิกฤตสงครามยูเครน-รัสเซียจนราคาน้ำมันดิบแตะ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล และดีเซลสิงคโปร์พุ่งสูงสุดเป็น 180 ดอลลาร์/บาร์เรล
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลติดตามสถานการณ์ทุกวัน กระทรวงพลังงาน หารือรับ กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ฯ ว่าหากเหตุการณ์ ยืดเยื้อ ต่อเนื่องจากมีแผนงานรับมือเพิ่มเติมอย่างไร โดย เบื้องต้น เพื่อความมั่นคงพลังงาน จะเพิ่มสำรองน้ำมันทางกฎหมายเพิ่มขึ้นอีก ร้อยละ 1 โดยน้ำมันดิบจะเพิ่มเป็นร้อยละ 5 น้ำมันสำเร็จรูปจะเพิ่มเป็นร้อยละ 2 คาดจะมีผลอีก 1 สัปดาห์ ส่วนนี้จะทำให้มีต้นทุนสำรองเพิ่มขึ้น 2.4 หมื่นล้านบาท และจะมีผลต่อภาคประชาชนเป็นราคาน้ำมันราว 60 สตางค์/ลิตร ซึ่งจะช่วยให้มีปริมาณน้ำมันสำรอง เพิ่มขึ้นอีก 7 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถรักษาเสถียรภาพพลังงานได้โดยไม่กระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน
อย่างไรก็ตามราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี ) ก๊าซหุงต้ม ราคาปรับสูงขึ้นมาก ซึ่งในขณะนี้ได้บริหารจัดการให้ดีที่สุดทุกด้าน โดยในส่วนของน้ำมันดีเซล จะพยายามตรึงราคา 30 บาท/ลิตร ให้นานที่สุด แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โลกจะเป็นอย่างไร ในขณะที่เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาวะติดลบกว่า 2 หมื่นล้านบาท และมีกรอบเงินกู้สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนของดีเซลนั้น หากราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในเกณฑ์ 115 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ก็จะดูแลได้ไปจนถึงสิ้นเดือน พ.ค. ทางกองทุนฯก็ไม่สามารถดูแลได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการอื่นๆเข้ามาดูแล
ในส่วนของก๊าซหุงต้ม หรือแอลพีจี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ จำเป็นต้องขยับราคาขึ้น 1 บาท/กก. หรือ 15 บาท/ถัง ขนาด 15 กก. ปรับเป็น 333 บาท/ถัง จากปัจจุบัน 318 บาท/ถัง ที่ใช้อัตรานี้มายาวนานตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ครั้งแรก เดือนมีนาคม 2563 และแต่ละเดือนกองทุนฯต้องอุดหนุนราว 2 พันล้านบาทต่อเดือน ซึ่งราคาแอลพีจีต้นทุนที่แท้จริงขณะนี้อยู่ที่463บาทต่อถัง
ในส่วนของค่าไฟฟ้าในขณะนี้ต้นทุนทุกด้านเพิ่มขึ้น และยังมีผลกระทบจากช่วงเปลี่ยนผ่านสัมปทานปิโตรเลียมเอราวัณ ในวันที่ 23 เมษายน 2565 ไทยต้องนำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่ม ในขณะที่แอลเอ็นจี ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 40-80 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ดังนั้น รัฐบาลจึงลดภาษีน้ำมันเตา-ดีเซลเพื่อผลิตไฟฟ้า เพื่อลดใช้แอลเอ็นจีให้ต่ำที่สุด อย่างไรก็ตามต้นทุนก็ยังสูงกว่าคาดการณ์ทำให้ค่าไฟฟ้าอัตโนมัติหรือเอฟทีงวดใหม่ เริ่ม พ.ค.-ส.ค. ต้นทุนค่าเอฟทีที่แท้จริงสูงกว่าประมาณการณ์เดิมที่คาดว่างวดนี้จะขึ้น 16 สตางค์ต่อหน่วย แต่รัฐบาลมีนโยบายว่าจะเข้ามาดูแลให้ค่าไฟฟ้าขึ้นในอัตราไม่เกิน คาดการณ์ 16 สตางค์ต่อหน่วย และขณะนี้กำลังพิจารณาจะช่วยเหลือประชาชน โดยหากรายใดใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน หรือราว 1,200 บาท/เดือน กลุ่มนี้ จะจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราเดิมในงวดเอฟทีงวดแรก (ม.ค.-เม.ย.65 )
นอกจากนี้กำลังพิจารณาจะช่วยเหลือผู้เดือดร้อน กลุ่มเปราะบางเฉพาะกลุ่ม เน้นไปที่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กลุ่มนี้ในส่วนผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีจะได้รับวงเงินอุดหนุนสำหรับการซื้อก๊าซฯ เพิ่มจาก 45 บาทเป็น 100 บาทในช่วงเวลา 3 เดือน และผู้ใช้จักรยานยนต์ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็จะได้รับเงินอุดหนุนสำหรับการซื้อน้ำมันกลุ่มเบนซิน โดยเงินในส่วนนี้ก็จะเป็นงบประมาณของรัฐในส่วนของงบกลางมาดูแล
“ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ราคาพลังงานแพง ยังไม่แน่ชัดว่าจะยืดเยื้อไปนานแค่ไหน เราจะตรึงดีเซล30 บาทให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบฯและเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และต้นทุนโดยรวมสูงขึ้นก็จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาแอลพีจี 1 บาท/กก. ค่าไฟฟ้าก็ต้องขยับขึ้น ซึ่งก็จะพยายามดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยในส่วนของกลุ่มเบนซินคงดูแลได้เฉพาะผู้ใช้มอเตอร์ไซด์ที่ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเท่านั้น ในภาวะนี้เชิญชวนทุกคนร่วมประหยัดพลังงาน และยึดหลักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” รองนายกฯและรมว.พลังงาน กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี