นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) มีนาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 104.06 หดตัว 5.13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่62.39% ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมไตรมาสแรกของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 100.85 หดตัวเฉลี่ย 3.65% และอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 60.45% ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการผลิตยานยนต์ลดลงเป็นเดือนที่ 8 จากการหดตัวของการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับการส่งออกลดลงเกิดจากความต้องการสินค้าในประเทศคู่ค้าในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย) ปรับตัวลดลง
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังมีการขยายตัวส่งผลให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องขยายตัว เช่น อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมการกลั่นปิโตรเลียม รวมถึงการเร่งใช้งบประมาณปี 2567 ของรัฐบาล คาดว่าจะส่งผลบวกให้ดัชนี MPI หลังจากนี้ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนมีนาคม 2567 ส่งสัญญาณเฝ้าระวังจากปัจจัยภายในประเทศหลังปริมาณการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบลดลง ส่งสัญญาณดีขึ้นเมื่อเทียบกับ เดือนก่อนหน้า
นางวรวรรณกล่าวอีกว่า ปัจจัยที่ต้องจับตามองขณะนี้ คือ การปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มดีเซลทุกชนิด 50 สต.ต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมาทำให้ราคาทะลุมาอยู่ที่ 30.94 บาทต่อลิตร ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนการใช้น้ำมันดีเซลค่อนข้างสูง และอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นดีเซล คืออุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า มีสัดส่วนใช้ดีเซล 7.93% ของต้นทุนการผลิตรวม การฟอกและย้อมผ้า 6.31% เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน 4.82% ปูนซีเมนต์4.43% ผลิตภัณฑ์โลหะ 4.01% แก้วและผลิตภัณฑ์แก้ว 2.74% และเสื้อผ้าและสิ่งทอ 2.53%
นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น อาจทำให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มสูงขึ้นกระทบค่าครองชีพของประชาชน และเกิดภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากภาวะราคาสินค้าโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงทำให้อัตราค่าไฟฟ้ามีราคาสูงขึ้นแม้จะมีการตรึงไว้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย แต่ถ้าใช้มากก็มีผลต่อค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และท้ายสุดจะกระทบกับขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการ
ด้านอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนมีนาคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.32%จากผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน ก๊าซหุงต้ม และแก๊สโซฮอล์ 91 เป็นหลัก ตามความต้องการใช้ในการเดินทางที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ขณะที่สตาร์ช และผลิตภัณฑ์จากสตาร์ช (แป้งมันสำปะหลัง) ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 47.65% จากผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง เป็นหลัก ตามปริมาณหัวมันสดที่เข้าสู่โรงงานมากกว่าปีก่อน หลังปัญหาโรคใบด่างเริ่มลดลง ประกอบกับหัวมันสดราคาดีส่งผลให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก อาหารสัตว์สำเร็จรูป ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.45% จากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารสุกรสำเร็จรูป เป็นหลัก โดยอาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัวจากตลาดส่งออกตามความนิยมในการเลี้ยงสุนัขและแมว สำหรับอาหารสุกรเพิ่มขึ้นตามปริมาณหมูเลี้ยงจากเกษตรกรที่มีปริมาณมากกว่าปกติ
“อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนมีนาคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนได้แก่ ยานยนต์ หดตัว 22.63% ตามการหดตัวของตลาดในประเทศ จากกำลังซื้อที่อ่อนแอและหนี้สินครัวเรือนอยู่ในระดับสูง รวมทั้งสถาบันการเงินยังคงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อต่อไป ด้านน้ำตาล หดตัว 25.26% เนื่องจากผลผลิตอ้อยสดในปีนี้มีน้อยกว่าปีก่อนจากปัญหาภัยแล้ง ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หดตัว 15.33% จากผลิตภัณฑ์ Integrated Circuits (IC) เป็นหลัก ตามการชะลอตัวเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อการบริโภคและลงทุน รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า” ผอ.สศอ. กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี