“ศักดิ์สยาม”ลงพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตรวจความพร้อมเปิดประเทศ 1 พ.ค.นี้ ยันสนามบินทั้ง 6 แห่ง ในกำกับของ AOT พร้อมรับนักท่องเที่ยว มั่นใจปลายปีผู้โดยสารสุวรรณภูมิ จะกลับไปเทียบเท่าก่อนสถานการณ์โควิด สั่ง AOT เตรียมอาคาร SAT-1 พร้อมเปิดปี 2566
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจความพร้อมการดำเนินการตามนโยบายเปิดประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ตามที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ผ่อนปรนปรับมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักร
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อตรวจความพร้อมการดำเนินการของท่าอากาศยานในการรองรับผู้โดยสาร ตามที่ ศบค. เห็นชอบปรับมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ยกเลิกมาตรการ Test & Go ให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 โดยกำหนดให้ผู้โดยสารที่เข้าประเทศ ต้องได้รับวัคซีนตามที่กำหนดและทำ Self ATK ก่อนการเดินทางอย่างน้อย 72 ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งวันนี้ได้ตรวจความพร้อมการดำเนินงาน ณ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ จุดตรวจหนังสือเดินทาง และจุดตรวจศุลกากร สำหรับมาตรการใหม่ในการเข้าประเทศ ซึ่งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ออกประกาศมาตรการ มีดังนี้
1. ผู้โดยสารที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้วสามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องมีการตรวจใด ๆ เพิ่มเติม แต่อย่างไรแนะนำให้ผู้โดยสารตรวจ ATK หากมีอาการ
2. ผู้โดยสารที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนยังไม่ครบถ้วนสามารถตรวจ RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และจะสามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องมีการตรวจใดๆ เพิ่มเติมเช่นเดียวกับผู้โดยสารที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว หากผู้โดยสารกลุ่มนี้ไม่มีผลตรวจจะต้องเข้าทำการกักตัวตามที่เจ้าหน้าที่ด่านกักกันโรคสั่ง และจะต้องทำการตรวจ RT-PCR ในวันที่ 4 หรือวันที่ 5 ของการกักตัว
3. ผู้โดยสารทุกคนต้องมีประกันสุขภาพคุ้มครอง COVID หรือจดหมายรับประกันมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ที่มีระยะคุ้มครองตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งผู้โดยสารสามารถใช้ประกันนี้ในการรักษาอาการของ COVID หากพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อ
4. ผู้โดยสารจะต้องจัดส่งเอกสารการฉีดวัคซีน หรือการตรวจและประกันในระบบ Thailand Pass ก่อนการเดินทางและเมื่อเอกสารได้รับการตรวจสอบแล้วผู้โดยสารจะได้ QR Code เพื่อให้แสดงต่อสายการบิน หากไม่มี QR Code นี้สายการบินอาจปฎิเสธการรับขนส่งผู้โดยสารได้
5. สายการบินจะต้องทำการตรวจสอบผู้เดินทางว่ามี QR Code จากระบบ Thailand Pass ก่อนรับเป็นผู้โดยสารมากับอากาศยาน และหากพบว่าผู้โดยสารเดินทางมาถึงประเทศไทย โดยไม่มี QR Code สายการบินจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบส่งผู้โดยสารกลับประเทศต้นทาง
6. สนามบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามมาตรการของรัฐอย่างเคร่งครัด เช่น การให้สวมหน้ากาก การตรวจสอบอุณหภูมิร่างกาย ก่อนเข้าหรือออก ตามที่รัฐบาลได้สั่งการอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ ยังได้ประชุมเตรียมความพร้อมร่วมกับท่าอากาศยานภายใต้การกำกับดูแลของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า มีความพร้อมรองรับการเปิดประเทศทุกด้าน ทั้งกระบวนการคัดกรองและการให้บริการผู้โดยสารขาเข้าและขาออกมีการดำเนินการที่เป็นระบบ รวมทั้งมีความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร อาคารจอดรถ และระบบการให้บริการขนส่งสาธารณะ
ทั้งนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักในการให้บริการผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ มีขั้นตอนการคัดกรองผู้โดยสารตามข้อกำหนดใหม่ เพื่อให้การบริการแต่ละขั้นตอนเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศไทยเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้โดยสารที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์และผู้โดยสารที่ไม่ได้รับวัคซีนแต่มีผลตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 72 ชั่วโมง สามารถเข้าประเทศได้ตามกระบวนการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศตามขั้นตอนปกติ และผู้โดยสารที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน/ฉีดวัคซีนไม่ครบ และไม่มีผลตรวจ RT-PCR เมื่อลงจากอากาศยานเรียบร้อยแล้ว ต้องเข้าสู่ขั้นตอนการเข้าประเทศตามระบบ Seal Route ซึ่งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกำหนดให้ผ่านพิธีการศุลกากรที่ช่องทางออก C (Exit C) เท่านั้น เพื่อมาพบกับตัวแทนโรงแรม AQ ที่บริเวณประตูทางออกหมายเลข 10 และขึ้นรถโดยสารที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้เพื่อเข้าสู่กระบวนการกักตัวต่อไป
ทั้งนี้ คาดว่า ภายหลังการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว จะส่งผลให้เดือนพฤษภาคม ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีจำนวนผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศเฉลี่ยวันละ 15,954 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนที่มีจำนวนผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศเฉลี่ยวันละ 11,594 คน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.61 เที่ยวบินขาเข้าระหว่างประเทศมีจำนวนเฉลี่ยวันละ 180 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนที่มีจำนวนเที่ยวบินขาเข้าระหว่างประเทศเฉลี่ยวันละ 140 เที่ยวบิน หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 28.57 (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เมษายน 2565)
“ เชื่อว่าหลังการเปิดประเทศผู้โดยสารจะกลับไปเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมีความเป็นไปได้ที่ในช่วงไฮซีซั่น ปลายปี 2565 สนามบินสำคัญ เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะกลับไปมีผู้โดยสารเทียบเท่ากับปี 2562 หรือก่อนสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งขณะนั้นสุวรรณภูมิจะมีผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 70,000 ถึง 80,000 คน“นายศักดิ์สยามกล่าว
นอกจากนี้ ยังสั่งการให้ AOT เตรียมความการเปิดใช้ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ซึ่งขณะนี้ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน เนื่องจากผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิลดลงจากสถานการณ์ โควิด-19 หากภายในปลายปีนี้สุวรรณภูมิกลับมามีผู้โดยสารคับคั่ง เหมือนในปี 2562 ซึ่งปัจจุบันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีความจุที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 45 ล้านคน ก็จะขอให้ AOT มีการเปิดใช้งาน อาคาร SAT-1 ทันทีในปี 2566
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี