ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ(REPORT ON BUSINESS SENTIMENT INDEX)ในเดือนกรกฎาคม 2565 ดัชนีความเชื่อมั่นปรับลดลงมาอยู่ที่ 49.4 จาก 50.5 ในเดือนก่อน ตามความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการและคำสั่งซื้อเป็นสำคัญโดยความเชื่อมั่นของภาคการผลิตปรับลดลงจากกลุ่มผลิตเคมี ปิโตรเลียม ยางและพลาสติกที่ความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการปรับลดลงมาก ส่วนหนึ่งจากราคาน้ำมันที่ลดลง และกลุ่มผลิตเหล็กที่คำสั่งซื้อลดลงมาก สำหรับความเชื่อมั่นของภาคที่มิใช่การผลิตปรับเพิ่มขึ้นและอยู่เหนือระดับ 50 ได้ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 จากความเชื่อมั่นของเกือบทุกหมวดธุรกิจที่ดีขึ้นจากเดือนก่อน ยกเว้นกลุ่มก่อสร้าง สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องหลังการเปิดประเทศในเดือนพฤษภาคม 2565
ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นปรับลดลงจาก 53.6 ในเดือนก่อน มาอยู่ที่ 52.1 ตามความเชื่อมั่นของภาคการผลิตที่ปรับลดลง ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคที่มิใช่การผลิตทรงตัว ในด้านความเชื่อมั่นรายองค์ประกอบ ความเชื่อมั่นปรับลดลงจากเกือบทุกองค์ประกอบ ยกเว้นด้านต้นทุนที่ปรับดีขึ้นหลังจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกหลายรายการเริ่มลดลงบ้าง แต่เนื่องจากราคาโดยรวมยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นด้านต้นทุนยังอยู่ในระดับต่ำอย่างไรก็ดี ดัชนีฯของธุรกิจส่วนใหญ่ยังอยู่เหนือหรือใกล้เคียงระดับ 50 ได้ ยกเว้นของกลุ่มก่อสร้างและอสังหาฯ รวมถึงกลุ่มผลิตเหล็กที่ดัชนียังอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 อย่างต่อเนื่อง ตามความเชื่อมั่นด้านต้นทุนที่อยู่ในระดับต่ำเป็นสำคัญ
ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอื่นๆ แม้แรงกดดันด้านต้นทุนผ่อนคลายลงบ้าง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นด้านต้นทุนที่ทรงตัวและดัชนีฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้าที่ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ความเชื่อมั่นยังอยู่ในระดับต่ำ กดดันให้ความเชื่อมั่นด้านสภาพคล่องทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ซึ่งสะท้อนว่าธุรกิจส่วนใหญ่ยังมีสภาพคล่องตึงตัว
ต้นทุนการผลิตสูงเป็นอุปสรรคอันดับแรกในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11ขณะเดียวกันสัดส่วนของผู้ประกอบการที่กังวลเกี่ยวกับการปรับราคาสินค้าทำได้ยากปรับเพิ่มขึ้นในเดือนนี้สำหรับอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในอีก 12 เดือนข้างหน้าเร่งขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 4.8%จาก 4.3% ในเดือนก่อน
สำหรับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ต่อภาคธุรกิจไทย เดือนกรกฎาคม 2565 พบว่าการฟื้นตัวของธุรกิจในภาคการผลิตทรงตัว ขณะที่ภาคที่มิใช่การผลิตปรับดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากที่มีนโยบายการเปิดประเทศ แต่กำลังซื้อที่อ่อนแอยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการฟื้นตัวของธุรกิจในภาพรวม
ธุรกิจประมาณครึ่งหนึ่งทั้งในภาคการผลิตและมิใช่ภาคการผลิตคาดว่า กำไรสุทธิ จะลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปี ส่วนหนึ่งจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการได้จำกัด นอกจากนี้ มีข้อสังเกตว่าภาคที่มิใช่การผลิตที่คาดว่ากำไรสุทธิจะมากกว่าที่เคยคาดไว้เมื่อช่วงต้นปีมีสัดส่วนถึง 23% สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เร็วกว่าคาด
สำหรับประเด็นค่าครองชีพ ที่ปรับสูงขึ้นพบว่าลูกจ้างของธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ได้เรียกร้องขอปรับขึ้น ค่าจ้าง แต่การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในระยะข้างหน้าคาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติมต่อ Margin ของธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการผลิต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี