นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาทบทวนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลประจำสัปดาห์ โดยมีมติให้คงราคาน้ำดีเซลไว้ที่ลิตรละ 34.94 บาท ตรึงราคาต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 8 เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดีเซล (GAS OIL) ลดลง 10.52 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2565 ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 134.86 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และลดลงเป็น 124.34 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2565 ปัจจัยหลักๆ คือ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงจากคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลง จากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และทวีปยุโรป รวมถึงภาวะหนี้สินของประเทศตลาดเกิดใหม่ และการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศจีนซึ่งนำเข้าน้ำมันมากที่สุดในโลก รวมทั้งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เพราะความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัว
ทั้งนี้ ในด้านราคาน้ำมันดีเซล มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 ได้วางมาตรการลดค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยมีมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล 50% ในส่วนที่ราคาขายสูงกว่า 35 บาทต่อลิตรเป็นเวลา 3 เดือน (กรกฎาคม- กันยายน 2565) ส่งผลให้ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 7 สิงหาคม 2565 ติดลบ 117,229 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 76,784 ล้านบาทและบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 40,445 ล้านบาท
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่าเอฟที (FT) งวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 ตามมติบอร์ดบริหารสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ในอัตราคือ 93.43 สตางค์ต่อหน่วยหรือเพิ่มขึ้น68.66 สตางค์ต่อหน่วย จากงวดปัจจุบันเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2565 ที่24.77 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน 3.79 บาทต่อหน่วยจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าโดยรวมที่ประชาชนต้องจ่ายจะอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย
“นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้กระทรวงพลังงานหามาตรการรองรับเพื่อช่วยเหลือ โดยจะต้องเร่งหารือกับสำนักงานกกพ.ด้วยว่าจะยังคงยืนยันตามมติเดิมหรือไม่ หากกกพ.จะปรับขึ้นค่าเอฟทีจะขึ้นเท่าเดิมหรือขึ้นแค่ไหนแล้วมาตรการช่วยเหลือประชาชน โดยนายกฯ เป็นห่วงเรื่องผลกระทบ เพราะถ้าขึ้นแล้วจะมีมาตรการอะไรมาช่วยเหลือ จึงต้องหารือกับกกพ.เพราะเป็นหน่วยงานที่กำกับและดูเรื่องนี้โดยเฉพาะส่วน การจะทบทวนหรือปรับเปลี่ยนมติบอร์ดกกพ.ที่ออกไปแล้วหรือไม่นั้นจะไม่ไปก้าวล่วง เพราะเป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงของกกพ. หากขึ้นค่าเอฟทีจริงๆ มาตรการที่รัฐจะช่วยเหลือจะเป็นอย่างไรโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เป็นสิ่งที่ต้องหารือร่วมกัน” นายกุลิศกล่าว
รายงานข่าวระบุว่าการที่ กกพ.มีมติปรับขึ้นค่าเอฟทีเนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงและผลจากเงินบาทที่อ่อนค่า การปรับค่าเอฟทีครั้งนี้ถือเป็นอัตราต่ำสุดแล้ว เพราะยังไม่มีการคืนหนี้ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.)ที่แบกรับต้นทุนเชื้อเพลิงมาตั้งแต่ปี 2564 หากต้องรับภาระค่าเอฟทีงวดใหม่นี้จะทำให้ กฟผ. แบกรับภาระราว 1.7 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 การไฟฟ้าประกอบด้วย กฟผ. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)ได้ออกประกาศตามอัตรางวดใหม่ให้ประชาชนได้รับทราบตามมติ กกพ. ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี