“วิกฤตพลังงาน” ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากความขัดแย้งจนกลายเป็นสงครามระหว่าง 2 ประเทศคือ รัสเซียและยูเครน บวกกับความแปรปรวนของสภาพอากาศ ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เห็นได้จากหลายประเทศต้องออกมาตรการ “ประหยัดพลังงาน” อาทิ “อิตาลี” ในเดือนกรกฎาคม 2565 รัฐบาลเปิดเผยแผนประหยัดพลังงานในภาวะฉุกเฉิน เช่น จำกัดการเปิดเครื่องทำความร้อน (ฮีทเตอร์) ที่อุณหภูมิ 19 องศาเซลเซียส ในฤดูหนาว และเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียสในฤดูร้อน ลดการเปิดไฟส่องสว่างริมถนนในเวลากลางคืน และปิดร้านค้าก่อนเวลาปกติ
“ฝรั่งเศส” รัฐบาลขอความร่วมมือบริษัทห้างร้านต่างๆ ปิดประตูเข้า - ออก ในขณะที่เปิดเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความร้อนรวมถึงออกมาตรการห้ามเปิดป้ายโฆษณาที่ใช้ไฟส่องสว่างระหว่างเวลา 01.00 - 06.00 น.
“เยอรมนี” ประกาศแผนประหยัดพลังงานช่วงฤดูหนาว ซึ่งจะจำกัดการใช้ไฟฟ้าในอาคารสาธารณะและอาคารสำนักงานต่างๆ โดยขอให้ปิดเครื่องทำความร้อนในห้องที่ไม่มีคนใช้งาน โดยตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 เป็นต้นไปอาคารสาธารณะ (ยกเว้นโรงพยาบาล) ต้องจำกัดอุณหภูมิสำหรับเครื่องทำความร้อนอยู่ที่ 19 องศาเซลเซียส และงดใช้เครื่องทำความร้อนบริเวณโถงทางเดิน รวมถึงระงับระบบทำความร้อนของสระว่ายน้ำ
“สหรัฐอเมริกา” ประกาศมาตรฐานการประหยัดพลังงานขั้นต่ำของเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งอาจเป็นมาตรฐานที่กำหนดให้ใช้ไฟฟ้าสูงสุดไม่เกินพลังงานสูงสุดที่อนุญาต หรือกำหนดประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยในทุกรุ่นของเครื่องใช้ไฟฟ้าประเทศเดียวกัน ออกกฎหมายควบคุมอาคาร ซึ่งจะมีข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพพลังงานด้วย ทั้งการออกแบบและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง
“แคนาดา” ใช้มาตรการภาษีควบคุมยานพาหนะที่สิ้นเปลืองพลังงานสูง เช่น รถยนต์ประเภท Station Wagon, Van และ Sports Utility Vehicle (SUV)
“เม็กซิโก” รัฐบาลจัดทำมาตรฐานเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประหยัดพลังงาน มีผลบังคับใช้กับทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชนทั่วไป มีหน่วยงานบุคคลที่สามทำหน้าที่ทดสอบและรับรองมาตรฐานสินค้า ร่วมมือกับภาคประชาสังคม (NGO) ตรวจสอบและวัดผลด้านอนุรักษ์พลังงานของอาคาร
“ออสเตรเลีย” ขอความร่วมมือชาวรัฐนิวเซาท์เวลส์ งดใช้ไฟฟ้าเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ระหว่าง 18.00 - 20.00 น. ของทุกวัน เนื่องจากเป็นช่วงที่กำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าจากลมและแสงอาทิตย์ลดลง
“จีน” สภาพอากาศร้อนจัด ส่งผลให้แม่น้ำสายหลักเหือดแห้ง จึงไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงพอต่อความต้องการ โรงงานอุตสาหกรรมในบางพื้นที่ถึงกับต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว บางเมืองก็มีมาตรการปิดไฟตกแต่งนอกอาคาร ไฟป้ายโฆษณา ปรับระดับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมไปจนถึงจำกัดเวลาการเปิดให้บริการของห้างสรรพสินค้า
“ญี่ปุ่น” อากาศร้อนผิดปกติทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ช่วงเดือน กรกฎาคม - กันยายน 2565 รัฐบาลต้องประกาศขอความร่วมมือ
ให้ครัวเรือนและธุรกิจประหยัดไฟฟ้า ซึ่งเป็นการประกาศครั้งแรกในรอบ 7 ปี ไปจนถึงการผ่อนคลายมาตรการสวมหน้ากากกลางแจ้ง เพื่อลดความเสี่ยงประชาชนเป็นลมแดด
“ฟิลิปปินส์” เริ่มรณรงค์ให้ประชาชนเลือกซื้ออุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ส่วนอาคารของรัฐก็ทยอยเปลี่ยนไปใช้หลอดไฟ LED ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น ขณะที่ภาคเอกชน เช่น ห้างสรรพสินค้า เริ่มให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานหมุนเวียน
“สิงคโปร์” ทยอยเปลี่ยนไปใช้หลอดไฟ LED และพลังงานแสงอาทิตย์ ออกมาตรการติดตั้งระบบทำความเย็นรวมศูนย์ มาตรการฉลากบังคับ (MELS) เพื่อให้ประชาชนเปรียบเทียบการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า ประกาศมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ (MEPS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน อาทิ ตู้เย็น
เครื่องปรับอากาศ เครื่องอบผ้า เป็นต้น
“ไทย” ก็เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตพลังงานไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ เห็นได้จากราคาพลังงานทั้งก๊าซหุงต้ม น้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงไฟฟ้า ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม “คงไม่ต้องรอมาตรการของรัฐ..เพราะแต่ละคนสามารถช่วยกันประหยัดพลังงานได้ด้วยวิธีง่ายๆ” โดยยึดกลยุทธ์ “4ป” ประกอบด้วย 1.ปิด หลอดไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน 2.ปรับ เครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิที่เหมาะสม 3.ปลด (หรือถอด) ปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน และ 4.เปลี่ยน ไปใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับรองมาตรฐานประหยัดไฟ (ฉลากเบอร์ 5)รวมถึงกลยุทธ์ “3ช” ประกอบด้วย 1.เช็ก ตรวจสอบสภาพรถ 2.ชัวร์ จะไปไหนควรศึกษาเส้นทางก่อน และ 3.ใช้ ระบบขนส่งสาธารณะ
เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยชาติประหยัดพลังงาน..พร้อมไปกับลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของตนเองได้ด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี