นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีการพิจารณาผลกระทบค่าไฟฟ้าราคาแพงจากสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างสหพันธรัฐรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น กระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าของไทย ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการบริหารจัดการพลังงานในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานในช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2565 มีทั้งหมด 11 มาตรการ โดย 1 ในมาตรการคือขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมประหยัดพลังงาน และมีมติว่าหากราคาตลาดจร หรือ Spot LNG JKM สูงกว่า 50 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ต่อเนื่องกัน ไม่น้อยกว่า 14 วัน (Trigger point) ให้นำเสนอเป็นมาตรการภาคบังคับ ในเรื่องมาตรการบังคับประหยัดพลังงาน โดยภาครัฐจะออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งก่อนบังคับจะดูแนวโน้มราคา และแจ้งเตือนล่วงหน้า ปัจจุบันราคา LNGอยู่ที่ประมาณ 28-29 เหรียญ/ล้านบีทียู
สำหรับมาตรการขอความร่วมมือประหยัดในภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรม ที่อาจจะกลายเป็นมาตรการบังคับในอนาคตเช่น 1.การตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในอาคารให้สูงขึ้นจากปกติ 2 องศาเซลเซียส (27 องศาเซลเซียส) 2.ปิดระบบแสงสว่างในพื้นที่ที่ไม่จำเป็น 3. การกำหนดเวลาเปิดปิดไฟป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ 4. การปิดสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงหลังเวลา 23.00 น. (เปิดเวลา 05.00 – 23.00 น.) 5. การกำหนดเวลาเปิดปิดภาคธุรกิจบริการที่ใช้พลังงานสูง เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ สถานบันเทิง 6. การปิดระบบปรับอากาศก่อนห้างสรรพสินค้าปิด30 – 60 นาที 7. การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงของโรงงานอุตสาหกรรม โดยภาครัฐสนับสนุนการให้ข้อมูล/คำแนะนำและอาจสนับสนุนเงินลงทุนบางส่วนแก่โรงงานอุตสาหกรรม 8. มาตรการประหยัดพลังงานอื่นๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์
“มาตรการอื่นๆ เช่น การลดการใช้แอลเอ็นจีเมื่อราคาสูงกว่า 25 เหรียญ/ล้านบีทียู มาเป็นเชื้อเพลิงอื่นๆ ที่มีต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ 3 เดือนนี้ ลดการนำเข้าแอลเอ็นจีจาก 18 ลำเรือ เหลือ 8 ลำเรือ และหากราคาแอลเอ็นจีต่ำกว่านี้ให้ บมจ.ปตท.เร่งรัดนำเข้าแอลเอ็นจีมาสำรองไว้ในคลัง โดยมั่นใจว่า แนวทางที่บริหารจัดการนี้ จะทำให้ค่าไฟฟ้าผันแปรงวด 1/2566(ม.ค.-เม.ย.) ราคาจะไม่สูงขึ้นกว่างวดปัจจุบัน ที่ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมค่าไฟฟ้าฐานอยู่ที่ประมาณ 4.72 บาท/หน่วย”นายกุลิศกล่าว
สำหรับการเปลี่ยนแปลงเชื้อเพลิงทดแทน LNG ได้แก่ ทดแทนด้วยการใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาโดยใช้ดีเซลราว 200 ล้านลิตร ในราคาประมาณ 6 บาท/ลิตร , จัดหาก๊าซในประเทศและแหล่งเจดีเอ ราว 100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน,เพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะ หน่วยที่ 8 ราว 555 กิกะวัตต์ชั่วโมง, รับซื้อไฟฟ้าระยะสั้นจากพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น 163 กิกะวัตต์ชั่วโมง ในขณะเดียวกัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอเพิ่มการจัดส่งน้ำมันดีเซลสำหรับโรงไฟฟ้า Glow EPEC GPG และ GUT และปรับแผนการนำเข้าน้ำมันเตา 0.5% ด้วยวิธี Ship to Ship สำหรับ โรงไฟฟ้าบางปะกง การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานน้ำระยะสั้นเพิ่มเติม จาก สปป.ลาว ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 1 ราว 43 กิกะวัตต์ชั่วโมง, โครงการเทินหินบุน 9.6 กิกะวัตต์ชั่วโมง, การนำโรงไฟฟ้าแม่เมาะ หน่วยที่ 4 กลับมาผลิตไฟฟ้า, การบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการลดการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคปิโตรเคมี และภาคอุตสาหกรรม, การเจรจาเพื่อลดการรับซื้อไฟฟ้าภาคสมัครใจจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ
นอกจากนี้ ที่ประชุม กพช. ยังมีมติเห็นชอบการทบทวนการกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ประเทศไทย ปี 2554-2558 ให้ปรับปรุงข้อความการนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามมาตรา 97(4) เพื่อการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีที่ใช้ในการประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย จากเดิม “โดยเรียกเก็บจากผู้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าในอัตรา 0.5 สตางค์ต่อหน่วย” เป็น “โดยเรียกเก็บจากผู้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าในอัตราไม่เกิน 0.5 สตางค์ต่อหน่วย” เพื่อให้กกพ. สามารถกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าจากผู้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าเป็น 0 บาทต่อหน่วยเป็นการชั่วคราว ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าลดได้ทันทีในเดือนพ.ย.นี้ 0.5 สตางค์ต่อหน่วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี