“ไฮโดรเจน (Hydrogen)” เป็นธาตุที่มีน้ำหนักเบาที่สุด มีลักษณะเป็นก๊าซไม่มีสีและกลิ่น อีกทั้งติดไฟง่าย ไฮโดรเจนถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ทั้งอุตสาหกรรมอาหารที่ใช้ในกระบวนการไฮโดรจีเนชัน (Hydrogenation) สำหรับการทำเนยเทียม ใช้ร่วมกับออกซิเจนในการตัดชิ้นงานใต้น้ำ ไปจนถึงใช้เป็น “เชื้อเพลิง” ในยานพาหนะต่างๆ จากระยะแรกคือกระสวยอวกาศเนื่องจากต้องการพลังงานสูง จนถึงปัจจุบันที่มีความพยายามนำมาใช้กับรถยนต์บนท้องถนน เพราะมีข้อดีคือไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศเหมือนกับการใช้น้ำมัน
หากดูความเคลื่อนไหวในระดับโลก หลายประเทศมีแผนลดจำนวนยานพาหนะที่ใช้น้ำมันแล้วเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกซึ่งรวมถึงไฮโดรเจน อาทิ กลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ในปี 2020 (พ.ศ.2563) ได้ประกาศแผนไฮโดรเจนสีเขียว ซึ่งหมายถึงเชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่ใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิตจึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งเป็นแผนระยะสั้น ปี 2020-2024 (พ.ศ.2563-2567) ติดตั้งอิเล็กโทรไลเซอร์ (Electrolyzer) หรือเครื่องแยกน้ำให้เป็นไฮโดรเจน กำลังการผลิต 6 GW ผลิตไฮโดรเจนให้ได้ 1 ล้านตัน
ส่วนแผนระยะกลาง ปี 2024-2030 (พ.ศ.2567-2573) ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตอิเล็กโทรไลเซอร์ ให้ได้ 40 GW เพื่อผลิตไฮโดรเจนให้ได้ 10 ล้านตัน นำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมเป็นวงกว้าง โดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและภาคการขนส่ง และแผนระยะยาว ตั้งแต่ปี 2030 (พ.ศ.2573) เป็นต้นไป ตั้งเป้าขยายการใช้งานของไฮโดรเจนในภาคการผลิตไฟฟ้าและปิโตรเคมี และปุ๋ยซึ่งเป็นภาคส่วนที่ยากต่อการลดคาร์บอน
ขณะที่ เกาหลีใต้ มีแผนตั้งแต่ระยะสั้น ในปี 2030 (พ.ศ.2573) ตั้งเป้ายกระดับ 30 บริษัทด้านพลังงานไฮโดรเจนในเกาหลีใต้ สู่การเป็นบริษัทระดับโลก พร้อมกับตั้งศูนย์ศึกษาเทคโนโลยีไฮโดรเจนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ส่วนแผนระยะกลาง ในปี 2040 (พ.ศ.2583) เพิ่มการผลิตรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนให้ได้ 6.2 ล้านคัน แบ่งเป็นใช้ในประเทศ 2.9 ล้านคัน (จากเดิมในปี พ.ศ.2561 ที่มีใช้เพียง 2,000 คัน) และส่งออกอีก 3.3 ล้านคัน พร้อมกับเพิ่มจำนวน สถานีบริการพลังงานไฮโดรเจนให้เป็น 1,200 แห่ง (จากเดิมในปี พ.ศ.2564 ที่มีเพียง 112 แห่ง)
และแผนระยะยาว ในปี 2050 (พ.ศ.2593) ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนกสถานีบริการพลังงานไฮโดรเจนให้เป็น 2,000 แห่ง อีกทั้งไฮโดรเจนที่นำมาใช้ต้องมาจากกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ด้าน ออสเตรเลีย ในฐานะประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ตั้งเป้าเป็นผู้ส่งออกชั้นนำของโลกให้ได้ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573) เป็นต้น
ที่ประเทศไทย “ปตท.” ในฐานะบริษัทชั้นนำซึ่งดูแลความมั่นคงทางพลังงานของไทย เล็งเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีไฮโดรเจน (Hydrogen) และเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) จึงได้ริเริ่มจัดตั้งกลุ่ม Hydrogen Thailand ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อขับเคลื่อนไฮโดรเจนให้เป็นพลังงานทางเลือกใหม่แห่งอนาคต สำหรับเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอนต่ำในประเทศไทย รวมถึงยังช่วยลดการปล่อยมลพิษหรือก๊าซเรือนกระจก โดยเปิดตัวไปตั้งแต่เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้ร่วมเปิดสถานีนำร่องทดลองใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle: FCEV) แห่งแรกของประเทศไทย (Hydrogen Station) ณ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยงานนี้ ปตท. ผนึกกำลังกับพันธมิตรอย่างเครือโตโยต้า คือ บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด หรือ TDEM กับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด หรือ TMT รวมถึง บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ BIG
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท. ตระหนักถึงความสำคัญเร่งด่วนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก จึงมุ่งผลักดันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างความร่วมมือกับภาคีต่าง ๆ เพื่อร่วมกันผลักดันประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว
ทั้งนี้ ปตท. เล็งเห็นว่าการลงทุนด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอย่างไฮโดรเจน ซึ่งเป็นพลังงานที่มีศักยภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามการนำไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับประเทศไทยที่จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และการลงทุนมูลค่าสูง
“ความร่วมมือของ 5 พันธมิตรชั้นนำในกลุ่มพลังงานและยานยนต์ครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ทั้งในด้านมาตรฐานระดับสากล และความปลอดภัยสูงสุดที่จะส่งมอบให้กับผู้ใช้บริการในอนาคต โดย ปตท. ได้ร่วมสนับสนุนการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานของระบบอัดบรรจุก๊าซไฮโดรเจน และข้อมูลเชิงเทคนิคที่จำเป็น ร่วมผลักดันการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกันในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน” นายอรรถพล กล่าว
ด้าน นายวิศาล ชวลิตานนท์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากแนวโน้มการใช้พลังงานในการเดินทางและการขนส่งในปัจจุบันที่รถไฟฟ้าเริ่มได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น และหนึ่งในพันธกิจของ OR คือการสร้าง Seamless Mobility โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะต้องการพลังงานชนิดใดสำหรับการเดินทาง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ
รวมทั้งมุ่งมั่นผลักดันการใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับการเดินทางและการขนส่งให้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในประเทศ ตลอดจนพัฒนาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) อย่างครบวงจร ซึ่งการสร้างสถานีบริการไฮโดรเจนเพื่อเติมไฮโดรเจนในรถยนต์ FCEV ครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญซึ่งจะช่วยเติมเต็มศักยภาพของโออาร์ในการมุ่งสู่การเป็นผู้นำ EV Ecosystem ในทุกมิติ โดยผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์ FCEV ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเติมเชื้อเพลิง
“การเติมไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ รูปแบบ Passenger Car ใช้เวลาเพียง 5 นาที ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ชอบการบริการที่สะดวกรวดเร็ว อีกทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ใช้หรือมีแผนที่จะใช้รถ FCEV และพันธมิตรผู้ค้าในคุณภาพและมาตรฐานการบริการ ซึ่งเป็นผลดีกับการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV และในอนาคตจะมีการพัฒนาการใช้พลังงานไฮโดรเจนในกลุ่มรถ FCEV ขนาดใหญ่ เช่น รถบัสและรถบรรทุก ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลาในการเติมเชื้อเพลิง สามารถเพิ่มรอบการขนส่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรให้แก่ธุรกิจอีกทางหนึ่ง” นายวิศาล กล่าว
สำหรับการเปิดสถานีนำร่องทดลองใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle: FCEV) แห่งแรกของประเทศไทย (Hydrogen Station) ณ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ยังมีนำรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง รุ่นมิไร (Mirai) ของโตโยต้า มาทดสอบการใช้งานในรูปแบบรถรับ-ส่งระหว่างสนามบินอู่ตะเภา สำหรับนักท่องเที่ยวและผู้โดยสารในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง โดยจะทำการเก็บข้อมูลเชิงเทคนิคที่ได้จากการใช้งานจริง เพื่อสร้างการรับรู้และเป็นข้อมูลรองรับการขยายผลใช้งานต่อไปในอนาคต
เป็นอีกความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของ “ปตท.” ในการร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย ไปสู่ความยั่งยืนทั้งด้านความมั่นคงทางพลังงานและด้านสิ่งแวดล้อม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี