นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เห็นชอบการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์/ลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกดีเซลอยู่ที่34.50 บาท/ลิตร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์2566 เป็นต้นไป โดยการปรับลดครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนหลังจากที่ขยับราคาน้ำมันดีเซล มาอยู่ที่35 บาท/ลิตรตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.ปัจจัยด้านสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลดลง โดยมีสัญญาณการลดลงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา โดยในปี 2565 ราคาเฉลี่ยน้ำมันดีเซล(Gas Oil) ตลาดโลกอยู่ที่ 135.53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และในเดือนมกราคม 2566 ราคาน้ำมันดีเซลลดลง เฉลี่ยอยู่ที่ 116.12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล 2.ปัจจัยจากการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติปรับอัตราภาษีลดลง ประมาณ 5 บาท/ลิตร ต่อไปอีกเป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2566 ถึง 20 พฤษภาคม 2566 โดยเป็นมาตรการต่อเนื่องตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2565เป็นต้นมา จึงส่งผลให้การบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น
นายวิศักดิ์กล่าวอีกว่า คาดว่าหากสถานการณ์ราคาน้ำมันยังคงมีแนวโน้มลดลงอีก ก็คาดว่าจะมีการพิจารณาความเหมาะสมในการปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลต่อไป โดยปัจจุบันประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง วันที่ 29 มกราคม 2566 ติดลบอยู่ที่ 113,436 ล้านบาท โดยน้ำมัน ติดลบ 68,133 ล้านบาท และ LPG ติดลบ 45,303 ล้านบาท
สำหรับราคาน้ำมันดีเซลในปัจจุบันอยู่ที่ ไฮพรีเมียมดีเซล B7 ลิตรละ 43.66 บาท (โออาร์) ไฮพรีเมียมดีเซล S B7 ลิตรละ 43.66 (บางจาก) ดีเซล B7 ลิตรละ 34.94 บาท ดีเซล B10 ลิตรละ 34.94 บาท และดีเซล B20 ลิตรละ 34.94 บาท
“ต้องบริหารจัดการราคาน้ำมันดีเซลให้มีความเหมาะสม และจะมีการประชุมหารือกันทุกวันเนื่องจากในประเทศไทยมีผู้ใช้น้ำมันดีเซลจำนวนมากถึงวันละ 70 ล้านลิตร การลดราคาน้ำมันดีเซลจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ทั้งการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนและการขนส่งสินค้าบริการ ส่วนสาเหตุที่มีการปรับลดลง 50 สตางค์ต่อลิตรในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ เนื่องจากเพื่อไม่ให้เกิดการกักตุนจนเกิดปัญหาเหมือนคราวที่ปรับลดลงลิตรละ 1 บาท เหมือนในอดีตที่ผ่านมา” นายวิศักดิ์ กล่าว
อนึ่ง ส่วนประเด็นเรื่องค่าไฟฟ้าสำหรับภาคเอกชนนั้น คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ได้หารือร่วมกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานพร้อมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในด้านพลังงาน เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้า มาอย่างต่อเนื่อง และการหารือครั้งล่าสุดคือเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา
โดยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ที่ผ่านมาภาคเอกชนได้ช่วยลดการใช้ก๊าซธรรมชาติ โดยใช้พลังงานเชื้อเพลิงอื่นมาทดแทนไปส่วนหนึ่งแล้ว เพื่อทำให้การคำนวณค่า Ft ในรอบถัดไปมีอัตราที่ลดลง ซึ่ง กกร.เสนอให้ปรับลดค่า Ft งวดที่ 2 เดือน พ.ค.-ส.ค. 2566 เนื่องจากมีปัจจัยหนุนในด้านการเพิ่มขึ้นของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และราคาก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มลดลง
ด้านนายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานส.อ.ท. เผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่เงินบาทแข็งค่าราคาแอลเอ็นจีลดลง ราคาค่าพลังงานโลกที่ลดลงและมีแนวโน้มว่าปริมาณก๊าซในอ่าวไทยจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยบวก ที่จะทำให้ค่าไฟเอกชนงวดที่ 2 เดือน พ.ค.-ส.ค. ลดลงได้แน่นอน และค่าไฟไม่ควรเกิน 5 บาท แต่จะเป็นเท่าใดนั้น จะต้องเข้าสู่ระบบการคำนวณอีกครั้ง แต่ส่วนตัวมองว่าหากปัจจัยบวกยังคงที่ และไม่มีปัจจัยอื่นๆ มากระทบ เชื่อว่าค่าไฟฟ้าจะสามารถปรับลดลงมาได้ และต้องไม่เกิน 5 บาท เพราะหากค่าไฟยังยืนอยู่ในระดับสูงก็จะส่งผลกระทบในทุกๆ ด้านโดยเฉพาะต้นทุนการผลิต ซึ่งจะส่งผลต่อราคาสินค้า และจะส่งผลต่อประชาชนผู้บริโภคโดยตรง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี