นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคเอกชนรู้สึกผิดหวังกับกรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ประกาศอัตราค่าไฟฟ้ารอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม โดยค่าไฟใหม่ 4.77 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้นจากงวดก่อน 5 สตางค์ เนื่องจากไม่ได้ช่วยลดภาระให้กับภาคครัวเรือน ทั้งๆ ที่ค่าไฟรอบนี้ทิศทางพลังงานของโลกได้ลดลงตามความเป็นจริงจึงสมควรปรับสมมุติฐานราคา ให้เป็นบวกกับผู้บริโภคมากขึ้น โดยงวดดังกล่าวที่ลดลงเป็นจากปัจจัยภายนอกทั้งค่าเงิน และราคาพลังงานโลกแต่ในเชิงโครงสร้างยังไม่ได้รับการแก้ไขและหาทางเลือกอื่น
ทั้งนี้ อยากจะตั้งคำถามถึงภาครัฐในการบริหารจัดการไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ ที่กระทบครัวเรือนทุกคน ตลอดจนถือเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญของภาคธุรกิจ ที่กำลังเร่งฟื้นฟู ในช่วงภาวะเศรษฐกิจของโลกชะลอตัว และแข่งขันรุนแรงในระดับประเทศคือ 1.สมมุติฐานการคำนวณค่าไฟฟ้าที่สูงเกินไป ที่ไม่ตอบโจทย์เนื่องจากค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวด ม.ค.-เม.ยเลือกใช้สมมุติฐานช่วงไฟ Peak ทั้งต้นทุนพลังงานโลก และค่าเงินบาท ทำให้ค่าไฟภาคธุรกิจมี ต้นทุนสูงขึ้น 13% จากค่าไฟฟ้า 4.72 บาทต่อหน่วย เป็น 5.33 บาทต่อหน่วยขณะที่ค่าไฟฟ้า งวด พ.ค-ส.ค.เป็นช่วงต้นทุนพลังงานของโลกต่ำลง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น กลับเลือกใช้สมมุติฐาน ตัวเลขของเดือนม.ค. 2566 ทำให้คนไทยต้องรับภาระค่าไฟฟ้าที่สูงเกินจริง ตลอด พ.ค.-ส.ค. 2566
คำถามที่ 2.การเร่งรัดให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นโครงการใดๆ ในช่วงปลายเทอมของรัฐบาล เช่น ไฟฟ้าสีเขียว ทั้ง 5,203 เมกะวัตต์ และส่วนเพิ่ม 3,668 เมกะวัตต์ แบบเร่งรีบ ทั้งๆ ที่มีเอกชนหลายรายยื่นฟ้องขอการคุ้มครองจากศาลปกครองต่อกระบวนการคัดเลือกที่ไม่โปร่งใส รวมถึงการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น ทั้งๆ ที่ ประเทศไทยยังมีการผลิตของโรงไฟฟ้า
มากกว่าความต้องการกว่า 50% 3.ปัญหาเชิงโครงสร้าง และนโยบาย กลับไม่มีใครพูดถึง ทางออก เช่น ต้นทุนที่สูงของค่าไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น ค่าพร้อมจ่าย, ต้นทุนแฝง อื่นๆจากภาวะ Supply over Demand กว่า 50% ตลอดจนสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เหลือ 30% ขณะที่ สัดส่วนของเอกชน รวมการนำเข้า สูงถึง 70% ขณะที่การจัดสรรก๊าซธรรมชาติ ในอ่าวไทย และอื่นๆ ซึ่งถือเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศ ควรดำเนินการให้เหมาะสม เป็นธรรมระหว่าง ภาคปิโตรเคมี และ ไฟฟ้า
นายอิศเรศ กล่าวอีกว่าผลประโยชน์เรื่องค่าไฟฟ้ามองง่ายๆ ตามหลัก “Zero Sum Game ” สรุปได้ว่า ประชาชนคนไทย ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าที่แพง ในขณะที่โรงไฟฟ้าเอกชนหลายราย ต่างก็มีผลประกอบการที่มีกำไร และเติบโตกันถ้วนหน้าท่ามกลางที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหลักในการดูแลไฟฟ้าของประเทศ เหลือสัดส่วนเพียง 30% และยังแบกภาระหนี้ ร่วม 1 แสนล้านบาท จากการแบกภาระอุ้มกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ขออนุญาตฝากการบ้าน ถึงทีมบริหารเศรษฐกิจที่เก่งๆ ของแต่ละพรรคการเมือง ให้ช่วยหาทางออก และคำตอบที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยด้วย
“ได้เสนอแนวคิดในการประกาศค่าเอฟที ในช่วงพลังงาน และ เศรษฐกิจโลก ผันผวนว่าควรปรับเปลี่ยนจากการประกาศทุก 3 งวด/ปี หรือ งวดละ 4 เดือน เป็น 6 งวด/ปี หรือ ทุก 2 เดือน เพื่อให้ เกิด dynamic และ response ต้นทุนค่าไฟฟ้า ได้รวดเร็ว แม่นยำ มากขึ้น”นายอิศเรศ กล่าว
อนึ่ง เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. ได้แถลงข่าวว่าการประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติให้สำนักงาน กกพ. นำค่าเอฟทีประมาณการงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2566 และแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นทั้ง 3 กรณี ได้แก่ กรณีที่ 1 ค่าเอฟทีเรียกเก็บ 293.60 สตางค์ต่อหน่วย คิดเป็นอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวม 6.72 บาทต่อหน่วย กรณีที่ 2 ค่าเอฟทีเรียกเก็บ 105.25 สตางค์ต่อหน่วย คิดเป็นอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวม 4.84 บาทต่อหน่วย และกรณีที่ 3 ค่าเอฟทีเรียกเก็บ 98.27 สตางค์ต่อหน่วย คิดเป็นอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวม 4.77 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ หลังได้พิจารณากรณีศึกษาการปรับค่าเอฟทีขายปลีกในแต่ละแนวทางแล้ว มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเป็นอัตราเดียวกันสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เท่ากับ 98.27 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วยจากเดิมค่าไฟฟ้าบ้านที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย และภาคธุรกิจ 5.33 บาทต่อหน่วย โดยกกพ.ได้พิจารณาหนังสือยืนยันจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ถึงความเหมาะสมของอัตราค่าไฟฟ้า 4.77 บาทต่อหน่วย