ศาลปกครองกลาง พิพากษาเพิกถอนประกาศกทม.เรื่องค่าโดยสาร 'โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว' ชี้แม้กทม.มีอำนาจกำหนดค่าโดย สารแต่ต้องปฏิบัติตามมติครม.ที่ให้ร่วมกับก.คมนาคม กำหนดอัตราที่เหมาะสมเป็นธรรมไม่สร้างภาระปชช. ชี้ข้ออ้างเรื่อง หนี้สินเป็นหน้าที่รัฐและกทม.ต้องร่วมแก้ไข
12 เม.ย.66 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศกรุงเทพมหานครลงวันที่ 15 มค 64 เรื่องการกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ออกประกาศดังกล่าว
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากนาย สิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยและพวกรวม 6 คนยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร(กทมฺ.)และผู้ว่าฯกทม.เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และ 2 ขอให้ศาลฯมีคำพิพากษาเพิกถอนหรือยกเลิกประกาศเรื่องการกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวลงวันที่ 15 ม.ค. 64 และให้สั่งระงับการดำเนินการใดๆตามประกาศฯคือการปรับขึ้นค่าโดยสารไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุด
ส่วนเหตุผลที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาดังกล่าว ระบุว่า แม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติรับรองให้ กทม.ซึ่งเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระแต่การใช้อำนาจบริหารราชการและการจัดทำบริการสาธารณะของ กทม.โดยผู้ว่าฯกทม.ก็ยังต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลตามหลักการกระจายอำนาจทางปกครองของรัฐ
ดังนั้น การจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งแม้จะอยู่ในความรับผิดชอบของกทม. และเป็นอำนาจของผู้ว่าฯกทม.ที่สามารถกระทำได้ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวมิได้จำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ใน กทม.เท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึงพื้นที่เขตปริมณฑลและเป็นโครงการที่รัฐบาลกำหนดไว้ในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในกทม.และปริมณฑล นอกจากนี้ยังมีโครงการระบบขนส่งมวลชนโดยรถไฟฟ้าสาย อื่นๆอันเป็นบริการสาธารณะที่รัฐจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์บรรเทาปัญหาการจราจรและเพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่มีประสิทธิภาพให้กับประชาชนลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้การจราจรติดขัดดังนั้นเพื่อให้การจัดทำบริการสาธารณะด้านขนส่งมวลชนของรัฐเกิดการบูรณาการทางด้านการเดินรถให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้ใช้บริการในการเดินทางการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมของโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆการจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกทม.จึงต้องพิจารณาโดยภาพรวมให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ
ดังนั้นกทม.จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติครม.วันที่26 พ.ย. 61 คือ ต้องบูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคมในการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชนผู้ใช้บริการมากเกินไป ทั้งต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลตามความเห็นกระทรวงการคลัง รวมทั้งพิจารณากำหนดค่าโดยสารให้เหมาะสมสอดคล้องกับค่าครองชีพของผู้ใช้บริการด้วย เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนคดีไม่ปรากฏว่าก่อนการดำเนินการออกประกาศเพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวกทม.โดยผู้ว่าฯกทม.ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลังในการพิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสารตามที่ครม.มอบหมายกรณีนี้ จึงเป็นการกระทำโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนที่กทม.อ้างว่าได้ปฏิบัติตามมติครม.วันที่26พ.ย.61แล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำให้การของกทม. และผู้ว่าฯกทม.เป็นกรณีการตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินงานที่มีรมช.คมนาคม เป็นประธานคณะกรรมการเพื่อทำการศึกษาบูรณาการเกี่ยวกับการรับโอนและบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยไม่ปรากฏว่า กทม.ได้ร่วมกับกระทรวงคมนาคมพิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสารตามที่ ครม. มอบหมายแต่อย่างใดข้ออ้างดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่ระหว่างการพิจารณาคดี กทม.ได้ออกประกาศลงวันที่ 8 ก.พ. 64 ให้เลื่อนการจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปก่อน และปัจจุบันยังไม่มีการจัดเก็บค่าโดยสารตามประกาศพิพาทก็ตาม แต่กรณีก็ย่อมจะเห็นได้ว่าประกาศกรุงเทพ มหานครฉบับลงวันที่ 8 ก.พ. 64 ดังกล่าวไม่ได้มีผลเป็นการยกเลิกหรือเพิกถอนประกาศที่พิพาท ซึ่งเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อนหรือเสียหายอันเป็นเหตุแห่งคดีพิพาทจึงยังไม่หมดสิ้นไปการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายจึงต้องมีคำบังคับของศาล
ส่วนที่กทม.อ้างว่าการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น กทม.มีภาระหนี้สินจำนวนมากที่ค้างจ่ายกับเอกชน อีกทั้งไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลหากไม่ได้รับการแก้ไขย่อมส่งผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณะด้านขนส่งมวลชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวต้องหยุดชะงักจึงจำเป็นต้องออกประกาศผิดพลาดเพื่อเรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้ใช้บริการนั้น เห็นว่า แม้ กทม.จะมีอำนาจตามกฎหมายในการเรียกเก็บค่าบริการสำหรับการให้บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในส่วนของที่กทม.รับผิดชอบได้ แต่เมื่อครม.มีมติมอบหมายให้กทม.ต้องบูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคมเพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชา ชนผู้ใช้บริการเกินสมควร เร่งรัดและพิจารณาการใช้ระบบตั๋วร่วมให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลดังนั้นการดำเนินโครงการรถไฟสีเขียวเฉพาะในส่วนนี้จึงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ภาระหนี้สินจำนวนมากที่อ้างนั้นอาจเกิดจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องหรือเชื่อมโยงกัน เช่น การบริหารสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก การเจรจาต่ออายุสัมปทาน การแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับเอกชนผู้รับสัมปทาน การจัดทำร่างสัญญาสัมปทานฉบับแก้ไข ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลและกทม.ต้องพิจารณาแก้ไขร่วมกันต่อไปโดยปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนโดยคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนระหว่างประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ส่วนรวมที่จะได้รับกับภาระหรือผลกระทบที่จะเกิดกับเอกชนประกอบกันด้วย-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี