ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความตึงเครียดในภาคการเงิน (financial sector stress) โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ทำให้สถาบันการเงินใน 2 กลุ่มประเทศนี้ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ (lending standard) มากขึ้นจากเดิมที่มีความเข้มงวดสูงอยู่แล้ว จึงคาดว่าจะส่งผลลบต่อการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจและธุรกิจในระยะข้างหน้า ล่าสุด IMF ประเมินว่าการปล่อยสินเชื่อที่มีแนวโน้มลดลงน่าจะส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของ 2 กลุ่มประเทศนี้ ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ได้รับผลกระทบประเทศละประมาณ -0.4% เมื่อบวกกับผลของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ SCB CIO คาดว่า ประเด็นความกังวลด้านเศรษฐกิจถดถอย (Recession concern) โดยเฉพาะในสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2566
ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังเป็นปัจจัยบวกหลักของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก แต่จากตัวเลข GDP ไตรมาสแรกที่เติบโต 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) เมื่อดูในรายละเอียด ยังสะท้อนการฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง (uneven recovery) โดยการบริโภคในประเทศส่งสัญญาณฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แต่ภาคการลงทุนยังฟื้นตัวช้า ส่วนภาคส่งออก แม้มีสัญญาณผ่านจุดต่ำสุด แต่ระยะข้างหน้ายังถูกกดดันจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมาก สำหรับการลงทุนสินทรัพย์ถาวร ช่วงไตรมาสแรก ยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้ตัวเลขส่งออกของจีนเดือนมีนาคมจะออกมาดีกว่าคาด แต่ยังคงต้องติดตามผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีน
ดร.กำพล กล่าวว่า SCB CIO ยังคงมีมุมมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 2/2566 และไม่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทั้งนี้ Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 0.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค. นี้และคงดอกเบี้ยที่ 5.00-5.25% จนถึงสิ้นปี ECBอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงช้า แต่ความตึงเครียดจากภาคการเงินน่าจะทำให้ ECB ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในส่วนของธปท. น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 31 พ.ค. นี้ และคงดอกเบี้ยที่ 2% จนถึงปลายปี 2566 โดยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเริ่มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% ในไตรมาสที่ 2/2566
จากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มขึ้นเราแนะนำให้นักลงทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล (Positive) ในพอร์ต โดยจากการวิเคราะห์ ของ SCB CIO พบว่า ช่วงที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงถดถอยสูง (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ PMI <50 และหดตัวลงเรื่อยๆ) และเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง สินทรัพย์ที่มักจะถูกนำมาใช้ในการป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย คือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment Grade) ของสหรัฐฯ และทองคำ แต่เมื่อพิจารณาจากผลตอบแทนต่อความผันผวน (Risk-adjusted return) จะพบว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์ที่ช่วยรับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยได้ดีที่สุดดังนั้น เราจึงปรับมุมมองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็น Positive และปรับมุมมองหุ้นกู้คุณภาพสูงเป็น Slightly Positive แต่ยังคงมุมมองหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ที่ Slightly Negative เนื่องจากส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนจากหุ้นกู้ High Yield เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล มักเร่งตัวขึ้น (ราคา หุ้นกู้High Yield ลดลง) ในระยะถัดไปหลังการปล่อยสินเชื่อมีความเข้มงวดสูงขึ้น
สำหรับ การลงทุนในหุ้น (Neutral) ยังคงต้องติดตามงบไตรมาสแรกของปี 2566 และความเสี่ยงจากการถูกปรับลดคาดการณ์กำไร แม้ธนาคารกลางส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะเริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และความตึงเครียดในภาคการเงินของสหรัฐฯ และยุโรป ยังเป็นปัจจัยกดดันทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับลดคาดการณ์ได้ในช่วงที่เหลือของปี โดยเรายังแนะนำให้เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีน A-share ที่คงมุมมอง Positive ตลาดหุ้นจีน H-share และตลาดหุ้นไทย เป็น Slightly Positive เนื่องจากมูลค่ายังน่าสนใจและมีแนวโน้มกำไรฟื้นตัวในระยะข้างหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี